เคยสงสัยไหมว่าเวลาเห็นงานดีไซน์เว็บไซต์ แอปพลิเคชัน หรือแม้แต่โพสต์โซเชียลใช้เครื่องมืออะไรในการออกแบบ? หนึ่งในคำตอบที่กำลังมาแรงที่สุดก็คือ Figma เครื่องมือออกแบบออนไลน์ที่ทั้งใช้ง่าย ทำงานร่วมกันได้แบบเรียลไทม์ และกำลังกลายเป็นสกิลจำเป็นสำหรับคนทำงานดิจิทัล ไม่ว่าจะเป็น UX/UI, Graphic Designer, Product Designer ไปจนถึงนักการตลาดและนักพัฒนา ใครที่อยากอัปสกิลหรือทำงานได้อย่างมืออาชีพ บทความนี้มีคำตอบว่า Figma คืออะไร ออกแบบอะไรได้บ้าง และอาชีพไหนบ้างที่ต้องใช้มันอยู่เป็นประจำ!
Figma คือเครื่องมือออกแบบ (Design Tool) แบบออนไลน์ที่ใช้สำหรับการออกแบบ UI (User Interface) และ UX (User Experience) ของเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชัน ใช้งานได้ผ่านเว็บเบราว์เซอร์โดยไม่ต้องติดตั้งโปรแกรม ทำงานร่วมกันแบบเรียลไทม์กับทีมดีไซน์ นักพัฒนา และลูกค้าได้อย่างสะดวก จึงทำให้ Figma กลายเป็นหนึ่งในเครื่องมือยอดนิยมของนักออกแบบยุคใหม่ ทั้งในองค์กรขนาดเล็กไปจนถึงบริษัทใหญ่ทั่วโลก
Figma กลายเป็นเครื่องมือที่มาแรงในการทำงานด้านออกแบบ เพราะตอบโจทย์การทำงานยุคดิจิทัลได้อย่างครบถ้วน โดยจุดเด่นสำคัญคือทำงานได้ทุกที่เพียงแค่มีอินเทอร์เน็ต เนื่องจากเป็นโปรแกรมที่ทำงานบนระบบคลาวด์ จึงไม่ต้องติดตั้งโปรแกรมให้ยุ่งยาก ใช้งานผ่าน Browser ได้ทันที และรองรับการทำงานร่วมกันแบบ Real-time ทำให้ทีมออกแบบ นักพัฒนา หรือผู้มีส่วนเกี่ยวข้องสามารถเข้ามาแก้ไข ดูงาน และคอมเมนต์ได้พร้อมกันแบบทันที เพิ่มประสิทธิภาพในการสื่อสารและลดเวลาการทำงานซ้ำซ้อน
นอกจากนี้ Figma ยังรองรับการใช้งานแบบ Cross-platform ไม่ว่าจะเป็นบน Windows, macOS, Linux หรือแม้แต่สมาร์ตโฟน ทำให้ผู้ใช้งานสามารถเข้าถึงงานออกแบบได้จากทุกอุปกรณ์อย่างสะดวกและยืดหยุ่นที่สุด
ฟีเจอร์เด่นของ Figma tool ที่ทำให้เป็นที่นิยมในวงการออกแบบมีมากมาย โดยเฉพาะความสามารถในการทำงานร่วมกันอย่างยืดหยุ่นและเข้าถึงได้ง่ายจากทุกที่ ฟีเจอร์สำคัญมีดังนี้
สำหรับผู้ที่เพิ่งเริ่มต้นใช้งาน และไม่รู้ว่า Figma ใช้อย่างไร ไม่ต้องกังวลเลย เพราะโปรแกรมนี้ใช้งานง่าย เข้าถึงได้ผ่านเว็บเบราว์เซอร์โดยไม่ต้องติดตั้ง และมีเครื่องมือช่วยสอนมากมายให้ทำความเข้าใจพื้นฐานได้อย่างรวดเร็ว สามารถเริ่มต้นได้ตามขั้นตอนดังนี้
Figma tool ช่วยให้นักออกแบบและทีมพัฒนาสามารถสร้างสรรค์งานได้อย่างครบวงจร ตั้งแต่การออกแบบ ไปจนถึงการทดสอบและทำงานร่วมกันแบบเรียลไทม์ เหมาะสำหรับทั้งนักออกแบบมืออาชีพ ทีมดีไซน์ ไปจนถึงองค์กรขนาดใหญ่ ไปดูกันว่า Figma ใช้อย่างไร และทำอะไรได้บ้าง!
Figma ถูกออกแบบมาให้รองรับการสร้าง UI (User Interface) และ UX (User Experience) อย่างมืออาชีพ ด้วยเครื่องมือที่หลากหลาย เช่น Frame, Auto Layout, Component และ Style ช่วยให้นักออกแบบสามารถจัดการองค์ประกอบต่างๆ ได้อย่างเป็นระบบ อีกทั้งยังกำหนดโครงสร้างหน้าเว็บหรือแอปให้เป็นระเบียบ เข้าใจง่าย และพร้อมต่อยอดให้ทีมพัฒนาใช้งานจริงได้ทันที
อีกหนึ่งความสามารถที่โดดเด่นของ Figma คือการสร้าง Prototype แบบอินเทอร์แอกทีฟ ที่จำลองประสบการณ์ใช้งานจริงได้อย่างสมจริง นักออกแบบสามารถเชื่อมโยงหน้าจอแต่ละหน้า เพิ่มเอฟเฟกต์การเปลี่ยนหน้า (Transition) หรือแสดงการกดปุ่มต่างๆ เพื่อให้เห็นภาพรวมของ Flow การใช้งานได้ก่อนการพัฒนา ทำให้ทีมพัฒนาและลูกค้าเข้าใจแนวคิดการออกแบบได้ชัดเจนขึ้น
นอกจากงาน UI/UX แล้ว Figma ยังเหมาะสำหรับการออกแบบงานกราฟิกทั่วไป เช่น โพสต์โซเชียลมีเดีย แบนเนอร์โฆษณา หรืออินโฟกราฟิก ด้วยเครื่องมือวาดรูปและจัดการเลเยอร์ที่ใช้งานง่าย ตั้งค่าขนาดงานได้อิสระ และส่งออกไฟล์ในรูปแบบต่างๆ ได้ เช่น PNG, JPG, SVG ได้ทันที จึงกลายเป็นเครื่องมืออเนกประสงค์สำหรับนักออกแบบทุกสาย
Figma tool โดดเด่นด้วยระบบ Real-time Collaboration ที่ช่วยให้สมาชิกในทีมสามารถเข้าแก้ไขไฟล์เดียวกันได้พร้อมกัน เห็นการเปลี่ยนแปลงแบบเรียลไทม์โดยไม่ต้องส่งไฟล์ไปมา หรือจะคอมเมนต์ในจุดที่ต้องการ ติดแท็กเพื่อนร่วมทีม หรือแชร์ลิงก์ให้ลูกค้าดูงานได้ทันที จึงช่วยประหยัดเวลาและลดความซ้ำซ้อนของการทำงานได้อย่างมาก
Figma รองรับการสร้าง Design System สำหรับใช้เป็นศูนย์กลางขององค์ประกอบการออกแบบทั้งหมด เช่น สี ตัวอักษร ปุ่ม และไอคอน ทำให้ทีมสามารถใช้ Component เดียวกันได้ในทุกโปรเจกต์ ช่วยให้ดีไซน์มีความสอดคล้องกันทั้งองค์กร ลดข้อผิดพลาดจากการออกแบบซ้ำซ้อน และเพิ่มความรวดเร็วในการพัฒนาโปรเจกต์ใหม่ๆ
Figma tool มีฟีเจอร์ Auto Layout และ Constraints ที่ช่วยให้นักออกแบบสามารถสร้างเลย์เอาต์ที่ปรับขนาดอัตโนมัติตามอุปกรณ์ต่างๆ ได้ เช่น Desktop, Tablet และ Mobile ช่วยให้เห็นภาพรวมของการแสดงผลในแต่ละหน้าจอได้ชัดเจน และปรับดีไซน์ให้เหมาะสมกับทุกขนาดหน้าจอได้อย่างมีประสิทธิภาพ เหมาะสำหรับงานออกแบบเว็บไซต์และแอปที่ต้องรองรับผู้ใช้งานหลายอุปกรณ์
Figma tool ตอบโจทย์การทำงานของสายดิจิทัลทุกสาย ไม่ใช่แค่เฉพาะนักออกแบบเท่านั้น แต่ยังช่วยให้การสื่อสาร การทำงานร่วมกัน และการส่งมอบงานเป็นไปอย่างราบรื่น เหมาะทั้งสำหรับมืออาชีพและทีมในองค์กร โดยสามารถใช้ในหลายอาชีพดังนี้
นักออกแบบ UI/UX เป็นกลุ่มหลักที่ใช้ Figma มากที่สุด เนื่องจากสามารถสร้าง Wireframe, Mockup และ Prototype ได้ครบในที่เดียว ช่วยให้ออกแบบหน้าตาและประสบการณ์ผู้ใช้ของเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันได้อย่างละเอียด พร้อมทั้งทดสอบการใช้งานจริง ทำให้ทีมพัฒนาเข้าใจแนวทางการออกแบบและฟังก์ชันการใช้งานของผู้ใช้ได้ชัดเจน ลดความผิดพลาดและประหยัดเวลาในการสื่อสาร
แม้ Figma จะเน้นด้าน UI/UX แต่สำหรับ Graphic Designer ก็สามารถใช้สร้างสื่อออนไลน์และงานกราฟิกได้ เช่น โพสต์โซเชียลมีเดีย แบนเนอร์ หรืออินโฟกราฟิก ด้วยเครื่องมือจัดการเลเยอร์ การวาด Shape และ Text รวมถึงการปรับขนาดและจัดวางองค์ประกอบได้อย่างอิสระ นอกจากนี้ยังใช้เทมเพลตสำเร็จรูปจาก Figma Community เพื่อเพิ่มความรวดเร็วในการทำงานได้อีกด้วย
นักพัฒนา Front-End ใช้ Figma เพื่อตรวจสอบองค์ประกอบการออกแบบ เช่น สี ฟอนต์ ขนาดปุ่ม และ Spacing ต่างๆ ที่นักออกแบบสร้างไว้ ช่วยให้การแปลงงานออกแบบเป็นโค้ด HTML, CSS, JS แม่นยำมากขึ้น นอกจากนี้ยังสามารถ Inspect Code และคัดลอก CSS, SVG หรือ Assets จากไฟล์ Figma ได้โดยตรง ทำให้กระบวนการพัฒนารวดเร็วและลดข้อผิดพลาด
Product Designer ใช้ Figma ในการออกแบบผลิตภัณฑ์ดิจิทัลทั้งระบบ ตั้งแต่การวางโครงร่างหน้าจอ (Wireframe) การสร้างหน้าจอจริง (Mockup) ไปจนถึงการทดสอบ Prototype เพื่อให้แน่ใจว่าผลิตภัณฑ์ตอบโจทย์ผู้ใช้และเป้าหมายทางธุรกิจ การใช้ Figma ทำให้ Product Designer สามารถทำงานร่วมกับทีม UI/UX, Developer และ Stakeholder ได้อย่างราบรื่นและรวดเร็ว
นักวิเคราะห์ UX หรือผู้วางแผนประสบการณ์ผู้ใช้สามารถใช้ Figma ในการสร้าง User Flow, Journey Map และ Wireframe ช่วยให้ทีมเข้าใจเส้นทางและประสบการณ์ผู้ใช้ได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ยังสามารถใช้ไฟล์ Figma เป็นสื่อกลางในการประชุมหรือรายงานผลการวิเคราะห์ ทำให้ทุกฝ่ายมีข้อมูลและแนวทางการออกแบบที่ชัดเจน
ผู้จัดการโครงการสามารถใช้ Figma เพื่อตรวจสอบความคืบหน้าของงานดีไซน์และ Prototype วางแผนงานร่วมกับทีม และคอมเมนต์หรือให้ Feedback ในไฟล์โดยตรง ระบบ Real-time Collaboration ของ Figma ทำให้ผู้จัดการโครงการสามารถติดตามงานได้แบบเรียลไทม์ ลดความเข้าใจผิดระหว่างทีมดีไซน์และทีมพัฒนา เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารโปรเจกต์ดิจิทัลอย่างมาก
แม้ Figma จะใช้งานง่ายอยู่แล้ว แต่การรู้เทคนิคเล็กๆ น้อยๆ จะช่วยให้ทำงานได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ตัวอย่างเช่น
Figma แตกต่างจากเครื่องมือออกแบบอื่นๆ เป็นอย่างมาก เนื่องจาก Figma เป็น Web Application ที่ใช้งานผ่าน Browser ได้โดยตรง ทำให้ไม่ต้องติดตั้งโปรแกรม และรองรับทุกระบบปฏิบัติการทั้ง Windows, macOS, Linux และมือถือ
ขณะที่ Sketch ใช้ได้เฉพาะ macOS และ Adobe XD ต้องติดตั้งโปรแกรมทั้งบน Windows หรือ macOS ส่วน Canva แม้ใช้งานง่าย แต่เน้นงานกราฟิกสำเร็จรูปและสื่อโซเชียล ไม่เหมาะกับการออกแบบ UI/UX แบบมืออาชีพเท่า Figma
นอกจากนี้ Figma ยังใช้งานง่าย รองรับทุกแพลตฟอร์ม และทำงานร่วมกันแบบเรียลไทม์ พร้อมทั้งมีระบบ Design System และชุมชนผู้ใช้งานขนาดใหญ่ เหมาะเป็นอย่างมากสำหรับงานออกแบบ UI/UX และงานทีมดิจิทัลที่ต้องการทั้งประสิทธิภาพและความยืดหยุ่นในการทำงาน เหตุผลเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่า Figma แตกต่างและโดดเด่นเหนือเครื่องมือออกแบบอื่นๆ อย่างชัดเจน
Figma คือเครื่องมือออกแบบ UI/UX และกราฟิกดิจิทัลที่ใช้งานง่าย รองรับทุกแพลตฟอร์ม และทำงานร่วมกันแบบ Real-time ได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีฟีเจอร์สำคัญ เช่น Auto Layout, Component, Prototype, Design System และ Community Library ช่วยให้นักออกแบบ ประสานงานกับทีมพัฒนา และสร้างงานได้รวดเร็วและเป็นมาตรฐาน มือใหม่สามารถเริ่มใช้งานได้ง่ายด้วยการสมัครบัญชีฟรี สร้างไฟล์ใหม่ และทดลองใช้เครื่องมือพื้นฐาน พร้อมทั้งเทคนิคเล็กๆ เช่น Keyboard Shortcut, Plugins และ Templates ช่วยประหยัดเวลาและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน
หากคุณกำลังมองหาโอกาสใหม่ๆ ที่ช่วยให้คุณบรรลุเป้าหมายในชีวิต อย่าลืมหางานผ่าน Jobsdb แพลตฟอร์มหางานที่รวบรวมตำแหน่งงานหลากหลายสาขา หลากหลายสายอาชีพไว้ในที่เดียว!
หากมีข้อสงสัยหรือไม่แน่ใจเกี่ยวกับ Figma ลองอ่านคำถามที่พบบ่อยต่อไปนี้เพื่อความเข้าใจมากขึ้น!
Figma มี Free Plan ให้ผู้ใช้งานทั่วไปสามารถเริ่มออกแบบได้ทันที โดยสามารถสร้างไฟล์และใช้งานเครื่องมือพื้นฐานได้ สำหรับผู้ที่ต้องการฟีเจอร์เพิ่มเติม เช่น การทำงานร่วมกันแบบทีมขนาดใหญ่ การจัดการ Design System หรือ Version History ที่ยาวกว่า Free Plan จะมีแผนค่าใช้จ่าย เช่น Professional, Organization และ Enterprise ให้เลือกตามความต้องการของทีม
สามารถใช้ได้
Figma ออกแบบมาให้ใช้งานง่ายและเรียนรู้เร็ว แม้ไม่มีพื้นฐานด้านออกแบบก็สามารถเริ่มจากเครื่องมือพื้นฐาน เช่น Frame, Shape, Text และลองใช้เทมเพลตสำเร็จรูปจาก Figma Community เพื่อฝึกสร้างงานอย่างเป็นระบบ
มีข้อดี ได้แก่ ใช้งานได้ทุกแพลตฟอร์ม ทำงานร่วมกันแบบ Real-time รองรับ Auto Layout, Component และมี Community Library ขนาดใหญ่
ข้อจำกัด คือ หากอินเทอร์เน็ตช้าอาจทำให้การใช้งานบนเว็บสะดุด และบางฟีเจอร์ขั้นสูง เช่น การ Export Assets ขนาดใหญ่หรือการทำงานแบบ Enterprise อาจต้องใช้แผนเสียค่าใช้จ่าย
Figma คือเครื่องมือออกแบบที่ยืดหยุ่นและเหมาะกับหลายสายงาน เช่น UI/UX, Graphic Designer, Product Designer นักพัฒนา Front-End นักวิเคราะห์ UX และผู้จัดการโครงการดิจิทัล นักการตลาดดิจิทัลที่ต้องทำคอนเทนต์ออนไลน์ และทีมที่ทำงานร่วมกันแบบ Remote เพราะ Figma ใช้งานบนเบราว์เซอร์ ทำงานร่วมกันแบบเรียลไทม์ได้ง่าย ไม่จำเป็นต้องติดตั้งโปรแกรม และรองรับทุกแพลตฟอร์ม