Digital Footprint คืออะไร? ร่องรอยออนไลน์ มีต่อการสมัครงานไหม

Digital Footprint คืออะไร? ร่องรอยออนไลน์ มีต่อการสมัครงานไหม
Jobsdb ทีมเนื้อหาอัปเดตเมื่อ 17 April, 2025
Share

Key Takeaway

  • Digital Footprint คือ ร่องรอยข้อมูลที่เกิดจากการใช้งานออนไลน์ ทั้งจากการโพสต์ แสดงความคิดเห็น หรือข้อมูลที่ถูกบันทึกโดยอัตโนมัติ ซึ่งอาจส่งผลต่อความเป็นส่วนตัวและภาพลักษณ์ในระยะยาว
  • Digital Footprint แบ่งเป็น 2 ประเภท ได้แก่ Active Digital Footprint ข้อมูลที่ผู้ใช้เผยแพร่โดยตรง เช่น โพสต์หรือคอมเมนต์ และ Passive Digital Footprint ข้อมูลที่ถูกบันทึกโดยอัตโนมัติ เช่น คุกกี้ หรือประวัติการเข้าชมเว็บ
  • เทคนิคการปั้น Digital Footprint คือ การใช้แพลตฟอร์มให้เหมาะสม เช่น LinkedIn สำหรับอาชีพและ JobsDB สำหรับสมัครงาน ตั้งค่าความเป็นส่วนตัวให้รัดกุม โพสต์เนื้อหาที่มีประโยชน์ และตรวจสอบข้อมูลออนไลน์ของตัวเองเป็นระยะ เพื่อให้ภาพลักษณ์ดูน่าเชื่อถือ

ในยุคดิจิทัลที่ข้อมูลไหลเวียนอย่างรวดเร็ว ทุกกิจกรรมบนโลกออนไลน์ล้วนทิ้งร่องรอยที่เรียกว่า Digital Footprint หรือ "รอยเท้าดิจิทัล" ซึ่งอาจเป็นข้อมูลที่เราตั้งใจหรือไม่ได้ตั้งใจเปิดเผย หากไม่มีมาตรการปกป้องข้อมูลที่ดี อาจส่งผลกระทบต่อความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยทางไซเบอร์

Digital Footprint คืออะไร? สำคัญแค่ไหน

Digital Footprint คืออะไร? สำคัญแค่ไหน

Digital Footprint หรือ รอยเท้าดิจิทัล คือ ข้อมูลที่เกิดขึ้นจากกิจกรรมออนไลน์ของผู้ใช้ ไม่ว่าจะเป็นการโพสต์ การกดไลก์ การค้นหาข้อมูล หรือแม้แต่ข้อมูลที่ถูกบันทึกโดยเว็บไซต์และแอปพลิเคชันโดยอัตโนมัติ

ความสำคัญของ Digital Footprint

Digital Footprint มีบทบาทสำคัญต่อทั้งความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคล โดยมีผลกระทบที่สำคัญดังนี้

  • ผลต่อความเป็นส่วนตัว ข้อมูลที่ถูกแชร์โดยไม่ตั้งใจอาจนำไปสู่การละเมิดสิทธิส่วนบุคคล หรือแม้แต่การถูกขโมยข้อมูลเพื่อใช้ในทางที่ผิด เช่น การปลอมแปลงตัวตน
  • ผลต่อภาพลักษณ์ออนไลน์ (Online Reputation) ข้อมูลที่ถูกบันทึกไว้สามารถส่งผลต่อโอกาสในการทำงานหรือการใช้ชีวิต เช่น นายจ้างหรือสถาบันการศึกษาสามารถตรวจสอบประวัติออนไลน์ก่อนตัดสินใจรับบุคคลเข้าทำงานหรือศึกษา
  • ผลต่อความปลอดภัยทางไซเบอร์ ข้อมูลที่รั่วไหลอาจถูกใช้ในการโจมตีทางไซเบอร์ เช่น การหลอกลวงทางออนไลน์ (Phishing) หรือการแฮ็กบัญชี
  • ความเกี่ยวข้องกับกฎหมาย PDPA กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA) กำหนดให้ผู้ใช้มีสิทธิ์ควบคุมข้อมูลของตนเอง และองค์กรที่จัดเก็บข้อมูลต้องได้รับความยินยอมจากเจ้าของข้อมูล
ประเภทของ Digital Footprint

ประเภทของ Digital Footprint 

Digital Footprint สามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลักตามแหล่งที่มาของข้อมูล ได้แก่ Active Digital Footprint และ Passive Digital Footprint ซึ่งแต่ละประเภทมีวัตถุประสงค์และความสำคัญที่แตกต่างกัน ดังนี้

Active Digital Footprint

Active Digital Footprint คือ ข้อมูลที่ผู้ใช้สร้างขึ้นโดยตั้งใจและสามารถควบคุมได้เอง ข้อมูลประเภทนี้มักเกิดจากการกระทำโดยตรงของผู้ใช้ เช่น การโพสต์บนโซเชียลมีเดีย การคอมเมนต์ หรือการสมัครใช้บริการต่างๆ บนอินเทอร์เน็ต

ตัวอย่างของ Active Digital Footprint

  1. โพสต์บนโซเชียลมีเดีย ข้อความ รูปภาพ วิดีโอ หรือความคิดเห็นที่เผยแพร่บน Facebook, Instagram, X (Twitter), TikTok
  2. การกดไลก์ แชร์ หรือแสดงความคิดเห็น การมีปฏิสัมพันธ์กับโพสต์ของผู้อื่น เช่น กดไลก์รูปภาพ หรือคอมเมนต์บน YouTube
  3. การลงทะเบียนหรือสมัครสมาชิก การสมัครบัญชีอีเมล สมัครบริการสตรีมมิง หรือสร้างโปรไฟล์ในเว็บไซต์ต่างๆ
  4. การส่งอีเมลหรือข้อความออนไลน์ อีเมลที่ส่งออกไป ข้อความที่ส่งผ่านแอปแชต เช่น LINE, WhatsApp, Messenger
  5. การกรอกแบบฟอร์มออนไลน์ การลงทะเบียนเข้าร่วมอีเวนต์ กรอกข้อมูลเพื่อสมัครงาน หรือสมัครรับข่าวสารจากเว็บไซต์
  6. รีวิวสินค้าและบริการ การเขียนรีวิวหรือให้คะแนนสินค้าบนแพลตฟอร์มออนไลน์ เช่น Shopee, Lazada, Google Reviews
  7. การเข้าร่วมฟอรัมและกระทู้สนทนา การตั้งกระทู้หรือแสดงความคิดเห็นบนเว็บไซต์เช่น Pantip หรือ Reddit

ความสำคัญของ Active Digital Footprint

  • ควบคุมได้มากกว่าดิจิทัลฟุตพรินต์แบบพาสซีฟ ผู้ใช้สามารถเลือกข้อมูลที่ต้องการเผยแพร่ รวมถึงตั้งค่าความเป็นส่วนตัวได้
  • ส่งผลต่อภาพลักษณ์ออนไลน์ เนื้อหาที่โพสต์อาจส่งผลต่อโอกาสในการทำงาน การศึกษา หรือความสัมพันธ์ส่วนตัว
  • อาจเป็นข้อมูลถาวร ข้อมูลบางอย่างอาจถูกบันทึกและค้นหาได้แม้จะลบออกไปแล้ว เช่น บทสนทนาในฟอรัม หรือโพสต์ที่ถูกแชร์ไปหลายที่

Passive Digital Footprint

Passive Digital Footprint คือ ข้อมูลที่ถูกบันทึกโดยอัตโนมัติจากกิจกรรมออนไลน์ของผู้ใช้ โดยที่ผู้ใช้ไม่ได้ตั้งใจหรืออาจไม่รู้ตัว ข้อมูลประเภทนี้มักเกิดจากระบบติดตามพฤติกรรม เช่น เว็บไซต์ที่เก็บข้อมูลผ่านคุกกี้ หรือแอปพลิเคชันที่บันทึกตำแหน่งที่ตั้ง

ตัวอย่างของ Passive Digital Footprint

  • คุกกี้ (Cookies) และข้อมูลการใช้งานเว็บ
    • เว็บไซต์ที่เข้าใช้งานมักบันทึกข้อมูลผ่านคุกกี้ เช่น พฤติกรรมการคลิก ลิงก์ที่กด หรือสินค้าที่ดูในร้านค้าออนไลน์
  • ที่อยู่ IP และตำแหน่งที่ตั้ง (IP Address & Location Tracking)
    • ทุกครั้งที่ใช้อินเทอร์เน็ต ระบบจะบันทึกที่อยู่ IP ซึ่งสามารถบอกตำแหน่งโดยประมาณของผู้ใช้
  • การติดตามพฤติกรรมผ่านโฆษณาออนไลน์
    • แพลตฟอร์มโฆษณา เช่น Google Ads หรือ Facebook Ads ใช้ข้อมูลพฤติกรรมเพื่อแสดงโฆษณาตามความสนใจของผู้ใช้
  • การบันทึกข้อมูลจากอุปกรณ์ที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต
    • อุปกรณ์สมาร์ตโฟน คอมพิวเตอร์ หรือ IoT (Internet of Things) อาจส่งข้อมูลการใช้งานไปยังผู้ให้บริการโดยอัตโนมัติ
  • ประวัติการค้นหาบนเสิร์ชเอนจิน (Search Engine History)
    • ข้อมูลการค้นหาบน Google, Bing หรือ Yahoo อาจถูกบันทึกเพื่อนำไปใช้ปรับปรุงผลการค้นหาและโฆษณา

ความสำคัญของ Passive Digital Footprint

  • ควบคุมได้ยากกว่าดิจิทัลฟุตพรินต์แบบแอคทีฟ เนื่องจากข้อมูลถูกเก็บโดยระบบอัตโนมัติ ผู้ใช้อาจไม่รู้ว่ามีการบันทึกข้อมูลอะไรบ้าง
  • เกี่ยวข้องกับความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัย หากข้อมูลถูกใช้โดยไม่มีมาตรการป้องกัน อาจนำไปสู่ความเสี่ยง เช่น การโจรกรรมข้อมูล (Data Breach) หรือการถูกติดตามโดยไม่รู้ตัว
  • มีผลต่อโฆษณาและประสบการณ์การใช้งานออนไลน์ ข้อมูลพฤติกรรมถูกใช้เพื่อปรับแต่งโฆษณาและเนื้อหาที่แสดงให้กับผู้ใช้
รับสมัครงานควรตรวจสอบ Digital Footprint หรือไม่?

รับสมัครงานควรตรวจสอบ Digital Footprint หรือไม่?

ในยุคที่ข้อมูลออนไลน์เข้าถึงได้ง่าย HR และผู้ว่าจ้างหลายแห่งเริ่มให้ความสำคัญกับดิจิทัลฟุตพรินต์ของผู้สมัครงาน เพราะคือข้อมูลที่ปรากฏบนโลกออนไลน์สามารถสะท้อนถึงพฤติกรรม บุคลิกภาพ และความเหมาะสมกับองค์กรได้

ควรตรวจสอบ Digital Footprint หรือไม่?

  • ควรตรวจสอบ เพราะช่วยให้องค์กรคัดเลือกพนักงานที่เหมาะสมมากขึ้น โดย HR สามารถพิจารณาข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับ
  • ภาพลักษณ์ออนไลน์ (Online Reputation) พฤติกรรมในโซเชียลมีเดียอาจสะท้อนถึงบุคลิกและทัศนคติของผู้สมัคร
  • ความเป็นมืออาชีพ (Professionalism) บทความ คอมเมนต์ หรือเนื้อหาที่ผู้สมัครเผยแพร่ อาจช่วย HR วิเคราะห์ว่าเหมาะสมกับวัฒนธรรมองค์กรหรือไม่
  • ความสอดคล้องกับค่านิยมขององค์กร พฤติกรรมออนไลน์ที่ไม่เหมาะสม เช่น การใช้คำหยาบ การแชร์เนื้อหาที่ไม่เหมาะสม อาจส่งผลต่อชื่อเสียงของบริษัท
  • ไม่ควรตรวจสอบแบบละเมิดความเป็นส่วนตัว การเข้าถึงข้อมูลที่เป็นส่วนตัวเกินไป เช่น แฮ็กบัญชี หรือขอข้อมูลที่ไม่ได้เปิดเผยสาธารณะ อาจละเมิดสิทธิ์ของผู้สมัครและขัดกับกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA)

วิธีที่ HR ควรใช้ในการตรวจสอบ Digital Footprint

  • ตรวจสอบเฉพาะข้อมูลที่เปิดเผยต่อสาธารณะ เช่น โปรไฟล์ LinkedIn หรือบทความที่ผู้สมัครเผยแพร่
  • พิจารณาเฉพาะข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับทักษะและความสามารถของผู้สมัคร
  • หลีกเลี่ยงการใช้ข้อมูลส่วนตัวที่ไม่เกี่ยวข้องกับการทำงานมาประเมิน

เช็ก Digital Footprint ละเมิดสิทธิส่วนบุคคลหรือไม่?

การตรวจสอบดิจิทัลฟุตพรินต์ของผู้สมัครงานก่อนสัมภาษณ์งาน คือแนวทางที่หลายองค์กรนำมาใช้เพื่อประเมินบุคลิกภาพและความเหมาะสมกับตำแหน่ง แต่คำถามที่ตามมาคือ การกระทำดังกล่าวถือเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลหรือไม่

กรณีที่ไม่ถือว่าละเมิดสิทธิส่วนบุคคล

หากการตรวจสอบอยู่ในขอบเขตของข้อมูลที่เปิดเผยต่อสาธารณะ และเกี่ยวข้องกับตำแหน่งงาน เช่น

  • การดูโปรไฟล์ LinkedIn หรือเว็บไซต์พอร์ตโฟลิโอที่ใช้แสดงผลงาน
  • การตรวจสอบโพสต์หรือบทความที่เปิดเป็นสาธารณะ ซึ่งเกี่ยวข้องกับสายงานหรือความสามารถของผู้สมัคร
  • การพิจารณารีวิวเกี่ยวกับประสบการณ์การทำงานที่ผ่านมา จากแพลตฟอร์มมืออาชีพ

กรณีที่อาจเข้าข่ายละเมิดสิทธิส่วนบุคคล

การตรวจสอบ Digital Footprint อาจคือการละเมิดสิทธิส่วนบุคคล เช่น

  • เข้าถึงข้อมูลที่ไม่ได้เปิดเผยต่อสาธารณะ เช่น ขอรหัสผ่านบัญชีโซเชียลมีเดีย หรือใช้วิธีแอบสอดแนม
  • นำข้อมูลที่ไม่เกี่ยวข้องกับการทำงานมาใช้พิจารณา เช่น ความคิดเห็นทางการเมือง ความเชื่อส่วนบุคคล หรือชีวิตส่วนตัว
  • ใช้ข้อมูลที่ตรวจสอบได้ในทางที่ไม่เหมาะสม เช่น การเผยแพร่ข้อมูลของผู้สมัครโดยไม่ได้รับอนุญาต

แนวทางปฏิบัติที่เหมาะสมในการตรวจสอบ Digital Footprint ของผู้สมัครงาน

  • แจ้งให้ผู้สมัครทราบหากมีการใช้ข้อมูลออนไลน์ประกอบการพิจารณา
  • ตรวจสอบเฉพาะแหล่งข้อมูลที่เปิดเผยต่อสาธารณะ และมีความเกี่ยวข้องกับตำแหน่งงาน
  • หลีกเลี่ยงการนำข้อมูลส่วนตัวมาใช้ในลักษณะที่อาจก่อให้เกิดการเลือกปฏิบัติ
เทคนิคการสร้าง Digital Footprint ให้ดูดี

เทคนิคการสร้าง Digital Footprint ให้ดูดี

การมี Digital Footprint ที่ดีคือการเสริมภาพลักษณ์ที่น่าเชื่อถือ ทั้งในด้านอาชีพและการใช้ชีวิตออนไลน์ ซึ่งสามารถทำได้ง่ายๆ ด้วยวิธีดังต่อไปนี้

ค้นชื่อของตัวเองในหลาย Search Engine

การตรวจสอบ Digital Footprint ของตัวเองเริ่มต้นได้ง่ายๆ คือการค้นหาชื่อผ่าน Search Engine เพื่อดูว่ามีข้อมูลอะไรเกี่ยวกับเราที่ปรากฏต่อสาธารณะ และสามารถจัดการข้อมูลที่ไม่ต้องการได้อย่างเหมาะสม

วิธีค้นหาชื่อของตัวเองใน Search Engine

  1. ใช้ Google, Bing, และ Yahoo
    • พิมพ์ ชื่อ-นามสกุล ลงในช่องค้นหา
    • ลองใส่เครื่องหมายคำพูด เช่น "ชื่อ-นามสกุล" เพื่อให้ผลลัพธ์เจาะจงมากขึ้น
    • ค้นหาโดยเพิ่ม ชื่อเล่น หรือ ชื่อที่ใช้ในโซเชียลมีเดีย เช่น "ชื่อ-นามสกุล Facebook"
  2. ตรวจสอบภาพและวิดีโอ
    • เข้าไปที่ Google Images หรือ Bing Images แล้วค้นหาชื่อตัวเอง
    • ตรวจสอบว่ามีรูปภาพหรือวิดีโอใดที่เกี่ยวข้องกับเราปรากฏขึ้นมา
  3. ลองค้นหาใน DuckDuckGo และ Startpage
    • Search Engine เหล่านี้ไม่บันทึกข้อมูลส่วนตัว และอาจแสดงผลลัพธ์ที่แตกต่างจาก Google
  4. ใช้เว็บตรวจสอบข้อมูลส่วนบุคคล
    • เว็บไซต์บางแห่ง เช่น PeekYou หรือ Pipl อาจดึงข้อมูลโปรไฟล์ที่เคยสมัครใช้งานในอดีตขึ้นมา
  5. เช็กในโซเชียลมีเดีย
    • ค้นหาชื่อของตัวเองในแพลตฟอร์มอย่าง Facebook, LinkedIn, Twitter, Instagram
    • ตรวจสอบว่ามีข้อมูลอะไรที่เปิดเผยต่อสาธารณะ และสามารถตั้งค่าความเป็นส่วนตัวได้หรือไม่

ตั้งค่าเป็นไพรเวตอยู่เสมอ

การตั้งค่าความเป็นส่วนตัวช่วยควบคุม Digital Footprint และป้องกันข้อมูลส่วนตัวจากบุคคลภายนอก สามารถทำได้ง่ายๆ ตามขั้นตอนดังนี้

1. ตั้งค่าความเป็นส่วนตัวในโซเชียลมีเดีย

  • Facebook ไปที่ การตั้งค่าและความเป็นส่วนตัว > การตั้งค่าความเป็นส่วนตัว แล้วเลือกให้โพสต์และโปรไฟล์มองเห็นเฉพาะเพื่อน
  • Instagram ไปที่ การตั้งค่า > ความเป็นส่วนตัว แล้วเปิด บัญชีส่วนตัว (Private Account)
  • Twitter/X ไปที่ การตั้งค่า > ความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัย แล้วเปิด ป้องกันทวีต (Protect your tweets)

2. จำกัดการเข้าถึงโพสต์และรูปภาพ

  • ลบหรือซ่อนโพสต์เก่าที่ไม่ต้องการให้แสดงสาธารณะ
  • ตรวจสอบว่าแท็กจากเพื่อนต้องได้รับอนุญาตก่อนขึ้นหน้าโปรไฟล์

3. ปิดการติดตามพฤติกรรมออนไลน์

  • ปิด Location Tracking ในแอปที่ไม่จำเป็น
  • ลบคุกกี้และประวัติการเข้าชมเว็บเป็นระยะ

4. ตรวจสอบสิทธิ์การเข้าถึงของแอปพลิเคชัน

  • เช็กว่าแอปใดเข้าถึงข้อมูลส่วนตัว และปิดสิทธิ์ที่ไม่จำเป็น

ปิด Account ที่ไม่ใช้แล้ว

การลบบัญชีที่ไม่ใช้งานช่วยลดความเสี่ยงจากการถูกแฮ็ก ป้องกันข้อมูลรั่วไหล และลด Digital Footprint เพื่อรักษาความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยออนไลน์

วิธีปิดบัญชีออนไลน์ที่ไม่ใช้แล้ว

  1. ตรวจสอบบัญชีเก่าผ่านอีเมล
    • ค้นหาอีเมลแจ้งเตือนจากแพลตฟอร์มที่เคยสมัคร เช่น Facebook, LinkedIn, Twitter หรือเว็บช้อปปิ้ง
  2. เข้าไปที่การตั้งค่าบัญชีของแต่ละแพลตฟอร์ม
    • ส่วนใหญ่จะมีตัวเลือก ลบบัญชี (Delete Account) หรือ ปิดใช้งานบัญชี (Deactivate Account)
  3. ลบข้อมูลส่วนตัวก่อนปิดบัญชี
    • หากระบบไม่ลบข้อมูลอัตโนมัติ ให้ลบโพสต์ รูปภาพ หรือข้อมูลที่อาจถูกใช้ในอนาคตก่อน
  4. ใช้เครื่องมือช่วยค้นหาบัญชีที่ลืมไปแล้ว
    • เว็บไซต์อย่าง JustDeleteMe หรือ Have I Been Pwned สามารถช่วยตรวจสอบบัญชีเก่าที่อาจลืมไปแล้ว
  5. หากไม่สามารถปิดบัญชีได้
    • เปลี่ยนข้อมูลให้เป็นข้อมูลทั่วไป เช่น ชื่อและอีเมลที่ไม่ได้ใช้งาน เพื่อลดการเชื่อมโยงกับตัวตนจริง

คิดก่อนกดอัปข้อมูล

การคิดก่อนกดอัปโหลดข้อมูลเป็นวิธีสำคัญในการควบคุม Digital Footprint และป้องกันผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ควรพิจารณาว่าข้อมูลที่เผยแพร่มีผลต่อความเป็นส่วนตัวหรือไม่ รวมถึงอาจถูกนำไปใช้ในทางที่ผิดหรือสร้างความเข้าใจผิด การตั้งค่าความเป็นส่วนตัวให้เหมาะสมช่วยจำกัดการเข้าถึงข้อมูลจากบุคคลภายนอก และควรหลีกเลี่ยงการโพสต์ข้อมูลที่อ่อนไหว เช่น ที่อยู่ส่วนตัว หรือความคิดเห็นที่อาจก่อให้เกิดปัญหาในอนาคต

สร้างตัวตนให้ดูน่าเชื่อถือ

การมีดิจิทัล ฟุตพรินต์ที่น่าเชื่อถือ คือ การเสริมภาพลักษณ์ทางออนไลน์ให้ดูเป็นมืออาชีพและน่าไว้วางใจ สามารถทำได้โดย

  1. ใช้ชื่อและข้อมูลโปรไฟล์ที่ชัดเจน
    • ใช้ชื่อจริงหรือชื่อที่เป็นทางการบนแพลตฟอร์มที่เกี่ยวข้องกับงาน
    • ใส่ข้อมูลเกี่ยวกับประสบการณ์ ความเชี่ยวชาญ และความสนใจให้ครบถ้วน
  2. โพสต์และแชร์เนื้อหาที่เป็นประโยชน์
    • แชร์บทความ แสดงความเห็นเชิงสร้างสรรค์ หรือแบ่งปันความรู้ที่เกี่ยวข้องกับสายงาน
    • หลีกเลี่ยงการโพสต์เนื้อหาที่อาจส่งผลเสียต่อภาพลักษณ์ เช่น การแสดงความคิดเห็นที่รุนแรงหรือสร้างความขัดแย้ง
  3. รักษาความสม่ำเสมอของโปรไฟล์
    • อัปเดตข้อมูลใน LinkedIn หรือเว็บไซต์พอร์ตโฟลิโอให้เป็นปัจจุบัน
    • ใช้รูปโปรไฟล์ที่เหมาะสมกับบริบทของแพลตฟอร์ม
  4. มีปฏิสัมพันธ์อย่างมืออาชีพ
    • ตอบกลับความคิดเห็นหรือข้อความอย่างสุภาพและให้เกียรติ
    • สร้างเครือข่ายกับคนในอุตสาหกรรมหรือสายงานเดียวกัน
  5. ตรวจสอบ Digital Footprint ของตัวเองเป็นระยะ
    • ค้นหาชื่อตัวเองบน Search Engine เพื่อดูว่ามีข้อมูลใดที่อาจต้องปรับปรุง
    • ตั้งค่าความเป็นส่วนตัวให้เหมาะสมกับแต่ละแพลตฟอร์ม

ใส่ข้อมูลส่วนตัวแค่พอจำเป็น

การใส่ข้อมูลส่วนตัวเท่าที่จำเป็นช่วยลดความเสี่ยงด้านความเป็นส่วนตัว โดยควรเปิดเผยเฉพาะข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับงานหรือการติดต่อที่จำเป็น หลีกเลี่ยงการแชร์รายละเอียดที่อาจถูกนำไปใช้ในทางที่ไม่เหมาะสม เช่น ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ หรือข้อมูลทางการเงิน และตั้งค่าความเป็นส่วนตัวของบัญชีให้เหมาะสมกับการใช้งานแต่ละแพลตฟอร์ม

สร้างแพลตฟอร์มแยก

การแยกแพลตฟอร์มสำหรับการใช้งานแต่ละประเภทช่วยจัดการ Digital Footprint ให้เป็นระเบียบและลดความเสี่ยงด้านความเป็นส่วนตัว สามารถทำได้โดย

  1. แยกบัญชีสำหรับการทำงานและบัญชีส่วนตัว
    • ใช้ LinkedIn หรือเว็บไซต์พอร์ตโฟลิโอ สำหรับการทำงานและสร้างภาพลักษณ์มืออาชีพ
    • ใช้ Facebook, Instagram หรือ TikTok สำหรับการสื่อสารส่วนตัวและความบันเทิง
  2. ใช้ที่อยู่อีเมลแยกกัน
    • ใช้อีเมลที่เป็นทางการสำหรับงาน เช่น ชื่อจริง@บริษัท.com
    • ใช้อีเมลทั่วไปสำหรับการสมัครโซเชียลมีเดียหรือบริการออนไลน์
  3. ตั้งค่าความเป็นส่วนตัวตามประเภทของแพลตฟอร์ม
    • บัญชีส่วนตัวควรตั้งค่าให้เห็นเฉพาะกลุ่มเพื่อนหรือคนรู้จัก
    • บัญชีที่ใช้ในงานควรเปิดเผยเฉพาะข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับอาชีพ
  4. ใช้เบราว์เซอร์และอุปกรณ์แยกกันหากจำเป็น
    • ใช้โหมดไม่ระบุตัวตน (Incognito) หรือแยกโปรไฟล์ในเบราว์เซอร์สำหรับงานและเรื่องส่วนตัว
    • ใช้คอมพิวเตอร์หรือมือถือแยกกันสำหรับงานและเรื่องส่วนตัวเพื่อความปลอดภัยของข้อมูล
  5. บริหารจัดการเนื้อหาที่โพสต์ในแต่ละแพลตฟอร์ม
    • หลีกเลี่ยงการแชร์เนื้อหาที่ไม่เกี่ยวข้องกับเป้าหมายของแพลตฟอร์มนั้นๆ
    • ตรวจสอบโพสต์และข้อมูลที่เปิดเผยในที่สาธารณะเพื่อป้องกันผลกระทบในอนาคต
ข้อดีจาก Digital Footprint

ข้อดีจาก Digital Footprint

Digital Footprint ไม่ได้มีแค่ความเสี่ยง แต่ยังมีข้อดีที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ คือ

  • สร้างภาพลักษณ์ที่ดีและน่าเชื่อถือ สามารถใช้ Digital Footprint ในการแสดงความเป็นมืออาชีพ เช่น การโพสต์บทความ แสดงผลงาน หรือสร้างโปรไฟล์ LinkedIn
  • เพิ่มโอกาสทางอาชีพและธุรกิจ นายจ้างหรือพันธมิตรทางธุรกิจสามารถค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับคุณและพิจารณาความสามารถก่อนติดต่อเสนองานหรือโอกาสใหม่ๆ
  • ช่วยสร้างเครือข่ายและโอกาสทางสังคม การมี Digital Footprint ที่ดีคือการช่วยให้เข้าถึงกลุ่มคนที่มีความสนใจเหมือนกัน ทั้งในเชิงธุรกิจและไลฟ์สไตล์
  • สามารถใช้เป็นเครื่องมือสร้างแบรนด์ส่วนตัว ใช้แพลตฟอร์มออนไลน์ในการสร้างตัวตน เช่น การเป็นอินฟลูเอนเซอร์ หรือผู้เชี่ยวชาญในสายงานของตนเอง
  • ช่วยให้ได้รับข้อมูลและข้อเสนอเฉพาะบุคคล เว็บไซต์และแพลตฟอร์มสามารถนำข้อมูลมาปรับแต่งประสบการณ์ให้ตรงกับความสนใจ เช่น โฆษณาสินค้า บริการ หรือเนื้อหาที่เกี่ยวข้อง
  • เป็นหลักฐานและประวัติผลงานออนไลน์ สามารถใช้ Digital Footprint เป็นแฟ้มสะสมผลงาน (Portfolio) หรือข้อมูลยืนยันประสบการณ์การทำงานได้

ข้อจำกัดจาก Digital Footprint

Digital Footprint มีข้อจำกัดที่ควรระวัง เพราะข้อมูลที่ถูกบันทึกและเผยแพร่บนโลกออนไลน์สามารถส่งผลกระทบต่อความเป็นส่วนตัวและภาพลักษณ์ในระยะยาว โดยข้อจำกัดที่สำคัญ ได้แก่

  • ข้อมูลอาจถูกนำไปใช้ในทางที่ผิด ข้อมูลที่เผยแพร่สู่สาธารณะอาจถูกดัดแปลง นำไปใช้แอบอ้าง หรือใช้เพื่อโจมตีทางไซเบอร์
  • ความเป็นส่วนตัวอาจถูกละเมิด ระบบติดตามข้อมูลและคุกกี้ในเว็บไซต์อาจบันทึกพฤติกรรมการใช้งานโดยที่ผู้ใช้ไม่รู้ตัว
  • การลบข้อมูลทำได้ยาก แม้ว่าจะลบโพสต์หรือบัญชีแล้ว ข้อมูลอาจยังคงอยู่ในระบบสำรอง (Cache) หรือถูกบันทึกโดยบุคคลอื่น
  • ส่งผลต่อภาพลักษณ์ในระยะยาว โพสต์หรือความคิดเห็นในอดีตอาจถูกขุดขึ้นมาและส่งผลเสียต่อโอกาสในการทำงานหรือธุรกิจ
  • เสี่ยงต่อการโจรกรรมข้อมูลส่วนตัว (Identity Theft) ข้อมูลที่เปิดเผยมากเกินไปอาจทำให้ตกเป็นเป้าหมายของมิจฉาชีพ เช่น การปลอมแปลงตัวตน
  • ข้อมูลอาจถูกตรวจสอบโดยนายจ้างหรือหน่วยงานต่างๆ องค์กรหรือ HR อาจใช้ Digital Footprint ในการพิจารณารับเข้าทำงาน ซึ่งอาจส่งผลกระทบหากมีข้อมูลที่ไม่เหมาะสม
  • ถูกจำกัดการเข้าถึงบางบริการหรือโอกาส บางประเทศหรือองค์กรอาจใช้ Digital Footprint ในการคัดกรองผู้สมัครงาน นักเรียน หรือผู้ขอวีซ่า

สรุป

Digital Footprint คือ ร่องรอยข้อมูลที่เกิดจากการใช้งานออนไลน์ ซึ่งมีทั้งข้อดีและข้อจำกัด หากบริหารจัดการอย่างเหมาะสม สามารถใช้สร้างภาพลักษณ์ที่ดี เพิ่มโอกาสทางอาชีพ และเสริมความน่าเชื่อถือได้ แต่หากไม่ระมัดระวัง อาจเสี่ยงต่อการละเมิดความเป็นส่วนตัว หรือส่งผลเสียต่อโอกาสในอนาคต การตั้งค่าความเป็นส่วนตัวให้รัดกุม ลบข้อมูลที่ไม่จำเป็น และใช้แพลตฟอร์มอย่างมืออาชีพ เช่น LinkedIn หรือเว็บไซต์สมัครงานอย่าง JobsDB ช่วยให้โปรไฟล์ดูน่าสนใจและเข้าถึงโอกาสงานที่เหมาะสมมากขึ้น

บทความอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง

More from this category: สมัครงาน

เรียกดูคำค้นหาที่ได้รับความนิยม

ทราบหรือไม่ว่าผู้สมัครค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับอะไรใน Jobsdb? สำรวจคำค้นหาที่ได้รับความนิยมเพื่ออัพเดทเทรนด์ใหม่เสมอ

สำรวจหัวข้อที่เกี่ยวข้อง

เลือกสิ่งที่สนใจเพื่อเรียกดูอาชีพที่เกี่ยวข้อง

สมัครรับคำแนะนำด้านอาชีพ

รับคำปรึกษาด้านอาชีพจากผู้เชี่ยวชาญส่งตรงถึงอินบ็อกซ์ของคุณ
ท่านได้ยอมรับคำประกาศเกี่ยวกับการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคล และนโยบายความเป็นส่วนตัวเพื่อให้ข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน หากท่านมีอายุต่ำกว่า 20 ปี ท่านได้รับความยินยอมจากผู้ปกครอง เพื่อยินยอมให้ Jobsdb และบริษัทในเครือประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน ท่านสามารถยกเลิกได้ทุกเวลา