Key Takeaway
- Digital Footprint คือ ร่องรอยข้อมูลที่เกิดจากการใช้งานออนไลน์ ทั้งจากการโพสต์ แสดงความคิดเห็น หรือข้อมูลที่ถูกบันทึกโดยอัตโนมัติ ซึ่งอาจส่งผลต่อความเป็นส่วนตัวและภาพลักษณ์ในระยะยาว
- Digital Footprint แบ่งเป็น 2 ประเภท ได้แก่ Active Digital Footprint ข้อมูลที่ผู้ใช้เผยแพร่โดยตรง เช่น โพสต์หรือคอมเมนต์ และ Passive Digital Footprint ข้อมูลที่ถูกบันทึกโดยอัตโนมัติ เช่น คุกกี้ หรือประวัติการเข้าชมเว็บ
- เทคนิคการปั้น Digital Footprint คือ การใช้แพลตฟอร์มให้เหมาะสม เช่น LinkedIn สำหรับอาชีพและ JobsDB สำหรับสมัครงาน ตั้งค่าความเป็นส่วนตัวให้รัดกุม โพสต์เนื้อหาที่มีประโยชน์ และตรวจสอบข้อมูลออนไลน์ของตัวเองเป็นระยะ เพื่อให้ภาพลักษณ์ดูน่าเชื่อถือ
ในยุคดิจิทัลที่ข้อมูลไหลเวียนอย่างรวดเร็ว ทุกกิจกรรมบนโลกออนไลน์ล้วนทิ้งร่องรอยที่เรียกว่า Digital Footprint หรือ "รอยเท้าดิจิทัล" ซึ่งอาจเป็นข้อมูลที่เราตั้งใจหรือไม่ได้ตั้งใจเปิดเผย หากไม่มีมาตรการปกป้องข้อมูลที่ดี อาจส่งผลกระทบต่อความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยทางไซเบอร์
Digital Footprint คืออะไร? สำคัญแค่ไหน
Digital Footprint หรือ รอยเท้าดิจิทัล คือ ข้อมูลที่เกิดขึ้นจากกิจกรรมออนไลน์ของผู้ใช้ ไม่ว่าจะเป็นการโพสต์ การกดไลก์ การค้นหาข้อมูล หรือแม้แต่ข้อมูลที่ถูกบันทึกโดยเว็บไซต์และแอปพลิเคชันโดยอัตโนมัติ
ความสำคัญของ Digital Footprint
Digital Footprint มีบทบาทสำคัญต่อทั้งความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคล โดยมีผลกระทบที่สำคัญดังนี้
- ผลต่อความเป็นส่วนตัว ข้อมูลที่ถูกแชร์โดยไม่ตั้งใจอาจนำไปสู่การละเมิดสิทธิส่วนบุคคล หรือแม้แต่การถูกขโมยข้อมูลเพื่อใช้ในทางที่ผิด เช่น การปลอมแปลงตัวตน
- ผลต่อภาพลักษณ์ออนไลน์ (Online Reputation) ข้อมูลที่ถูกบันทึกไว้สามารถส่งผลต่อโอกาสในการทำงานหรือการใช้ชีวิต เช่น นายจ้างหรือสถาบันการศึกษาสามารถตรวจสอบประวัติออนไลน์ก่อนตัดสินใจรับบุคคลเข้าทำงานหรือศึกษา
- ผลต่อความปลอดภัยทางไซเบอร์ ข้อมูลที่รั่วไหลอาจถูกใช้ในการโจมตีทางไซเบอร์ เช่น การหลอกลวงทางออนไลน์ (Phishing) หรือการแฮ็กบัญชี
- ความเกี่ยวข้องกับกฎหมาย PDPA กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA) กำหนดให้ผู้ใช้มีสิทธิ์ควบคุมข้อมูลของตนเอง และองค์กรที่จัดเก็บข้อมูลต้องได้รับความยินยอมจากเจ้าของข้อมูล
ประเภทของ Digital Footprint
Digital Footprint สามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลักตามแหล่งที่มาของข้อมูล ได้แก่ Active Digital Footprint และ Passive Digital Footprint ซึ่งแต่ละประเภทมีวัตถุประสงค์และความสำคัญที่แตกต่างกัน ดังนี้
Active Digital Footprint
Active Digital Footprint คือ ข้อมูลที่ผู้ใช้สร้างขึ้นโดยตั้งใจและสามารถควบคุมได้เอง ข้อมูลประเภทนี้มักเกิดจากการกระทำโดยตรงของผู้ใช้ เช่น การโพสต์บนโซเชียลมีเดีย การคอมเมนต์ หรือการสมัครใช้บริการต่างๆ บนอินเทอร์เน็ต
ตัวอย่างของ Active Digital Footprint
- โพสต์บนโซเชียลมีเดีย ข้อความ รูปภาพ วิดีโอ หรือความคิดเห็นที่เผยแพร่บน Facebook, Instagram, X (Twitter), TikTok
- การกดไลก์ แชร์ หรือแสดงความคิดเห็น การมีปฏิสัมพันธ์กับโพสต์ของผู้อื่น เช่น กดไลก์รูปภาพ หรือคอมเมนต์บน YouTube
- การลงทะเบียนหรือสมัครสมาชิก การสมัครบัญชีอีเมล สมัครบริการสตรีมมิง หรือสร้างโปรไฟล์ในเว็บไซต์ต่างๆ
- การส่งอีเมลหรือข้อความออนไลน์ อีเมลที่ส่งออกไป ข้อความที่ส่งผ่านแอปแชต เช่น LINE, WhatsApp, Messenger
- การกรอกแบบฟอร์มออนไลน์ การลงทะเบียนเข้าร่วมอีเวนต์ กรอกข้อมูลเพื่อสมัครงาน หรือสมัครรับข่าวสารจากเว็บไซต์
- รีวิวสินค้าและบริการ การเขียนรีวิวหรือให้คะแนนสินค้าบนแพลตฟอร์มออนไลน์ เช่น Shopee, Lazada, Google Reviews
- การเข้าร่วมฟอรัมและกระทู้สนทนา การตั้งกระทู้หรือแสดงความคิดเห็นบนเว็บไซต์เช่น Pantip หรือ Reddit
ความสำคัญของ Active Digital Footprint
- ควบคุมได้มากกว่าดิจิทัลฟุตพรินต์แบบพาสซีฟ ผู้ใช้สามารถเลือกข้อมูลที่ต้องการเผยแพร่ รวมถึงตั้งค่าความเป็นส่วนตัวได้
- ส่งผลต่อภาพลักษณ์ออนไลน์ เนื้อหาที่โพสต์อาจส่งผลต่อโอกาสในการทำงาน การศึกษา หรือความสัมพันธ์ส่วนตัว
- อาจเป็นข้อมูลถาวร ข้อมูลบางอย่างอาจถูกบันทึกและค้นหาได้แม้จะลบออกไปแล้ว เช่น บทสนทนาในฟอรัม หรือโพสต์ที่ถูกแชร์ไปหลายที่
Passive Digital Footprint
Passive Digital Footprint คือ ข้อมูลที่ถูกบันทึกโดยอัตโนมัติจากกิจกรรมออนไลน์ของผู้ใช้ โดยที่ผู้ใช้ไม่ได้ตั้งใจหรืออาจไม่รู้ตัว ข้อมูลประเภทนี้มักเกิดจากระบบติดตามพฤติกรรม เช่น เว็บไซต์ที่เก็บข้อมูลผ่านคุกกี้ หรือแอปพลิเคชันที่บันทึกตำแหน่งที่ตั้ง
ตัวอย่างของ Passive Digital Footprint
- คุกกี้ (Cookies) และข้อมูลการใช้งานเว็บ
- เว็บไซต์ที่เข้าใช้งานมักบันทึกข้อมูลผ่านคุกกี้ เช่น พฤติกรรมการคลิก ลิงก์ที่กด หรือสินค้าที่ดูในร้านค้าออนไลน์
- ที่อยู่ IP และตำแหน่งที่ตั้ง (IP Address & Location Tracking)
- ทุกครั้งที่ใช้อินเทอร์เน็ต ระบบจะบันทึกที่อยู่ IP ซึ่งสามารถบอกตำแหน่งโดยประมาณของผู้ใช้
- การติดตามพฤติกรรมผ่านโฆษณาออนไลน์
- แพลตฟอร์มโฆษณา เช่น Google Ads หรือ Facebook Ads ใช้ข้อมูลพฤติกรรมเพื่อแสดงโฆษณาตามความสนใจของผู้ใช้
- การบันทึกข้อมูลจากอุปกรณ์ที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต
- อุปกรณ์สมาร์ตโฟน คอมพิวเตอร์ หรือ IoT (Internet of Things) อาจส่งข้อมูลการใช้งานไปยังผู้ให้บริการโดยอัตโนมัติ
- ประวัติการค้นหาบนเสิร์ชเอนจิน (Search Engine History)
- ข้อมูลการค้นหาบน Google, Bing หรือ Yahoo อาจถูกบันทึกเพื่อนำไปใช้ปรับปรุงผลการค้นหาและโฆษณา
ความสำคัญของ Passive Digital Footprint
- ควบคุมได้ยากกว่าดิจิทัลฟุตพรินต์แบบแอคทีฟ เนื่องจากข้อมูลถูกเก็บโดยระบบอัตโนมัติ ผู้ใช้อาจไม่รู้ว่ามีการบันทึกข้อมูลอะไรบ้าง
- เกี่ยวข้องกับความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัย หากข้อมูลถูกใช้โดยไม่มีมาตรการป้องกัน อาจนำไปสู่ความเสี่ยง เช่น การโจรกรรมข้อมูล (Data Breach) หรือการถูกติดตามโดยไม่รู้ตัว
- มีผลต่อโฆษณาและประสบการณ์การใช้งานออนไลน์ ข้อมูลพฤติกรรมถูกใช้เพื่อปรับแต่งโฆษณาและเนื้อหาที่แสดงให้กับผู้ใช้
รับสมัครงานควรตรวจสอบ Digital Footprint หรือไม่?
ในยุคที่ข้อมูลออนไลน์เข้าถึงได้ง่าย HR และผู้ว่าจ้างหลายแห่งเริ่มให้ความสำคัญกับดิจิทัลฟุตพรินต์ของผู้สมัครงาน เพราะคือข้อมูลที่ปรากฏบนโลกออนไลน์สามารถสะท้อนถึงพฤติกรรม บุคลิกภาพ และความเหมาะสมกับองค์กรได้
ควรตรวจสอบ Digital Footprint หรือไม่?
- ควรตรวจสอบ เพราะช่วยให้องค์กรคัดเลือกพนักงานที่เหมาะสมมากขึ้น โดย HR สามารถพิจารณาข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับ
- ภาพลักษณ์ออนไลน์ (Online Reputation) พฤติกรรมในโซเชียลมีเดียอาจสะท้อนถึงบุคลิกและทัศนคติของผู้สมัคร
- ความเป็นมืออาชีพ (Professionalism) บทความ คอมเมนต์ หรือเนื้อหาที่ผู้สมัครเผยแพร่ อาจช่วย HR วิเคราะห์ว่าเหมาะสมกับวัฒนธรรมองค์กรหรือไม่
- ความสอดคล้องกับค่านิยมขององค์กร พฤติกรรมออนไลน์ที่ไม่เหมาะสม เช่น การใช้คำหยาบ การแชร์เนื้อหาที่ไม่เหมาะสม อาจส่งผลต่อชื่อเสียงของบริษัท
- ไม่ควรตรวจสอบแบบละเมิดความเป็นส่วนตัว การเข้าถึงข้อมูลที่เป็นส่วนตัวเกินไป เช่น แฮ็กบัญชี หรือขอข้อมูลที่ไม่ได้เปิดเผยสาธารณะ อาจละเมิดสิทธิ์ของผู้สมัครและขัดกับกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA)
วิธีที่ HR ควรใช้ในการตรวจสอบ Digital Footprint
- ตรวจสอบเฉพาะข้อมูลที่เปิดเผยต่อสาธารณะ เช่น โปรไฟล์ LinkedIn หรือบทความที่ผู้สมัครเผยแพร่
- พิจารณาเฉพาะข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับทักษะและความสามารถของผู้สมัคร
- หลีกเลี่ยงการใช้ข้อมูลส่วนตัวที่ไม่เกี่ยวข้องกับการทำงานมาประเมิน
เช็ก Digital Footprint ละเมิดสิทธิส่วนบุคคลหรือไม่?
การตรวจสอบดิจิทัลฟุตพรินต์ของผู้สมัครงานก่อนสัมภาษณ์งาน คือแนวทางที่หลายองค์กรนำมาใช้เพื่อประเมินบุคลิกภาพและความเหมาะสมกับตำแหน่ง แต่คำถามที่ตามมาคือ การกระทำดังกล่าวถือเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลหรือไม่
กรณีที่ไม่ถือว่าละเมิดสิทธิส่วนบุคคล
หากการตรวจสอบอยู่ในขอบเขตของข้อมูลที่เปิดเผยต่อสาธารณะ และเกี่ยวข้องกับตำแหน่งงาน เช่น
- การดูโปรไฟล์ LinkedIn หรือเว็บไซต์พอร์ตโฟลิโอที่ใช้แสดงผลงาน
- การตรวจสอบโพสต์หรือบทความที่เปิดเป็นสาธารณะ ซึ่งเกี่ยวข้องกับสายงานหรือความสามารถของผู้สมัคร
- การพิจารณารีวิวเกี่ยวกับประสบการณ์การทำงานที่ผ่านมา จากแพลตฟอร์มมืออาชีพ
กรณีที่อาจเข้าข่ายละเมิดสิทธิส่วนบุคคล
การตรวจสอบ Digital Footprint อาจคือการละเมิดสิทธิส่วนบุคคล เช่น
- เข้าถึงข้อมูลที่ไม่ได้เปิดเผยต่อสาธารณะ เช่น ขอรหัสผ่านบัญชีโซเชียลมีเดีย หรือใช้วิธีแอบสอดแนม
- นำข้อมูลที่ไม่เกี่ยวข้องกับการทำงานมาใช้พิจารณา เช่น ความคิดเห็นทางการเมือง ความเชื่อส่วนบุคคล หรือชีวิตส่วนตัว
- ใช้ข้อมูลที่ตรวจสอบได้ในทางที่ไม่เหมาะสม เช่น การเผยแพร่ข้อมูลของผู้สมัครโดยไม่ได้รับอนุญาต
แนวทางปฏิบัติที่เหมาะสมในการตรวจสอบ Digital Footprint ของผู้สมัครงาน
- แจ้งให้ผู้สมัครทราบหากมีการใช้ข้อมูลออนไลน์ประกอบการพิจารณา
- ตรวจสอบเฉพาะแหล่งข้อมูลที่เปิดเผยต่อสาธารณะ และมีความเกี่ยวข้องกับตำแหน่งงาน
- หลีกเลี่ยงการนำข้อมูลส่วนตัวมาใช้ในลักษณะที่อาจก่อให้เกิดการเลือกปฏิบัติ
เทคนิคการสร้าง Digital Footprint ให้ดูดี
การมี Digital Footprint ที่ดีคือการเสริมภาพลักษณ์ที่น่าเชื่อถือ ทั้งในด้านอาชีพและการใช้ชีวิตออนไลน์ ซึ่งสามารถทำได้ง่ายๆ ด้วยวิธีดังต่อไปนี้
ค้นชื่อของตัวเองในหลาย Search Engine
การตรวจสอบ Digital Footprint ของตัวเองเริ่มต้นได้ง่ายๆ คือการค้นหาชื่อผ่าน Search Engine เพื่อดูว่ามีข้อมูลอะไรเกี่ยวกับเราที่ปรากฏต่อสาธารณะ และสามารถจัดการข้อมูลที่ไม่ต้องการได้อย่างเหมาะสม
วิธีค้นหาชื่อของตัวเองใน Search Engine
- ใช้ Google, Bing, และ Yahoo
- พิมพ์ ชื่อ-นามสกุล ลงในช่องค้นหา
- ลองใส่เครื่องหมายคำพูด เช่น "ชื่อ-นามสกุล" เพื่อให้ผลลัพธ์เจาะจงมากขึ้น
- ค้นหาโดยเพิ่ม ชื่อเล่น หรือ ชื่อที่ใช้ในโซเชียลมีเดีย เช่น "ชื่อ-นามสกุล Facebook"
- ตรวจสอบภาพและวิดีโอ
- เข้าไปที่ Google Images หรือ Bing Images แล้วค้นหาชื่อตัวเอง
- ตรวจสอบว่ามีรูปภาพหรือวิดีโอใดที่เกี่ยวข้องกับเราปรากฏขึ้นมา
- ลองค้นหาใน DuckDuckGo และ Startpage
- Search Engine เหล่านี้ไม่บันทึกข้อมูลส่วนตัว และอาจแสดงผลลัพธ์ที่แตกต่างจาก Google
- ใช้เว็บตรวจสอบข้อมูลส่วนบุคคล
- เว็บไซต์บางแห่ง เช่น PeekYou หรือ Pipl อาจดึงข้อมูลโปรไฟล์ที่เคยสมัครใช้งานในอดีตขึ้นมา
- เช็กในโซเชียลมีเดีย
- ค้นหาชื่อของตัวเองในแพลตฟอร์มอย่าง Facebook, LinkedIn, Twitter, Instagram
- ตรวจสอบว่ามีข้อมูลอะไรที่เปิดเผยต่อสาธารณะ และสามารถตั้งค่าความเป็นส่วนตัวได้หรือไม่
ตั้งค่าเป็นไพรเวตอยู่เสมอ
การตั้งค่าความเป็นส่วนตัวช่วยควบคุม Digital Footprint และป้องกันข้อมูลส่วนตัวจากบุคคลภายนอก สามารถทำได้ง่ายๆ ตามขั้นตอนดังนี้
1. ตั้งค่าความเป็นส่วนตัวในโซเชียลมีเดีย
- Facebook ไปที่ การตั้งค่าและความเป็นส่วนตัว > การตั้งค่าความเป็นส่วนตัว แล้วเลือกให้โพสต์และโปรไฟล์มองเห็นเฉพาะเพื่อน
- Instagram ไปที่ การตั้งค่า > ความเป็นส่วนตัว แล้วเปิด บัญชีส่วนตัว (Private Account)
- Twitter/X ไปที่ การตั้งค่า > ความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัย แล้วเปิด ป้องกันทวีต (Protect your tweets)
2. จำกัดการเข้าถึงโพสต์และรูปภาพ
- ลบหรือซ่อนโพสต์เก่าที่ไม่ต้องการให้แสดงสาธารณะ
- ตรวจสอบว่าแท็กจากเพื่อนต้องได้รับอนุญาตก่อนขึ้นหน้าโปรไฟล์
3. ปิดการติดตามพฤติกรรมออนไลน์
- ปิด Location Tracking ในแอปที่ไม่จำเป็น
- ลบคุกกี้และประวัติการเข้าชมเว็บเป็นระยะ
4. ตรวจสอบสิทธิ์การเข้าถึงของแอปพลิเคชัน
- เช็กว่าแอปใดเข้าถึงข้อมูลส่วนตัว และปิดสิทธิ์ที่ไม่จำเป็น
ปิด Account ที่ไม่ใช้แล้ว
การลบบัญชีที่ไม่ใช้งานช่วยลดความเสี่ยงจากการถูกแฮ็ก ป้องกันข้อมูลรั่วไหล และลด Digital Footprint เพื่อรักษาความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยออนไลน์
วิธีปิดบัญชีออนไลน์ที่ไม่ใช้แล้ว
- ตรวจสอบบัญชีเก่าผ่านอีเมล
- ค้นหาอีเมลแจ้งเตือนจากแพลตฟอร์มที่เคยสมัคร เช่น Facebook, LinkedIn, Twitter หรือเว็บช้อปปิ้ง
- เข้าไปที่การตั้งค่าบัญชีของแต่ละแพลตฟอร์ม
- ส่วนใหญ่จะมีตัวเลือก ลบบัญชี (Delete Account) หรือ ปิดใช้งานบัญชี (Deactivate Account)
- ลบข้อมูลส่วนตัวก่อนปิดบัญชี
- หากระบบไม่ลบข้อมูลอัตโนมัติ ให้ลบโพสต์ รูปภาพ หรือข้อมูลที่อาจถูกใช้ในอนาคตก่อน
- ใช้เครื่องมือช่วยค้นหาบัญชีที่ลืมไปแล้ว
- เว็บไซต์อย่าง JustDeleteMe หรือ Have I Been Pwned สามารถช่วยตรวจสอบบัญชีเก่าที่อาจลืมไปแล้ว
- หากไม่สามารถปิดบัญชีได้
- เปลี่ยนข้อมูลให้เป็นข้อมูลทั่วไป เช่น ชื่อและอีเมลที่ไม่ได้ใช้งาน เพื่อลดการเชื่อมโยงกับตัวตนจริง
คิดก่อนกดอัปข้อมูล
การคิดก่อนกดอัปโหลดข้อมูลเป็นวิธีสำคัญในการควบคุม Digital Footprint และป้องกันผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ควรพิจารณาว่าข้อมูลที่เผยแพร่มีผลต่อความเป็นส่วนตัวหรือไม่ รวมถึงอาจถูกนำไปใช้ในทางที่ผิดหรือสร้างความเข้าใจผิด การตั้งค่าความเป็นส่วนตัวให้เหมาะสมช่วยจำกัดการเข้าถึงข้อมูลจากบุคคลภายนอก และควรหลีกเลี่ยงการโพสต์ข้อมูลที่อ่อนไหว เช่น ที่อยู่ส่วนตัว หรือความคิดเห็นที่อาจก่อให้เกิดปัญหาในอนาคต
สร้างตัวตนให้ดูน่าเชื่อถือ
การมีดิจิทัล ฟุตพรินต์ที่น่าเชื่อถือ คือ การเสริมภาพลักษณ์ทางออนไลน์ให้ดูเป็นมืออาชีพและน่าไว้วางใจ สามารถทำได้โดย
- ใช้ชื่อและข้อมูลโปรไฟล์ที่ชัดเจน
- ใช้ชื่อจริงหรือชื่อที่เป็นทางการบนแพลตฟอร์มที่เกี่ยวข้องกับงาน
- ใส่ข้อมูลเกี่ยวกับประสบการณ์ ความเชี่ยวชาญ และความสนใจให้ครบถ้วน
- โพสต์และแชร์เนื้อหาที่เป็นประโยชน์
- แชร์บทความ แสดงความเห็นเชิงสร้างสรรค์ หรือแบ่งปันความรู้ที่เกี่ยวข้องกับสายงาน
- หลีกเลี่ยงการโพสต์เนื้อหาที่อาจส่งผลเสียต่อภาพลักษณ์ เช่น การแสดงความคิดเห็นที่รุนแรงหรือสร้างความขัดแย้ง
- รักษาความสม่ำเสมอของโปรไฟล์
- อัปเดตข้อมูลใน LinkedIn หรือเว็บไซต์พอร์ตโฟลิโอให้เป็นปัจจุบัน
- ใช้รูปโปรไฟล์ที่เหมาะสมกับบริบทของแพลตฟอร์ม
- มีปฏิสัมพันธ์อย่างมืออาชีพ
- ตอบกลับความคิดเห็นหรือข้อความอย่างสุภาพและให้เกียรติ
- สร้างเครือข่ายกับคนในอุตสาหกรรมหรือสายงานเดียวกัน
- ตรวจสอบ Digital Footprint ของตัวเองเป็นระยะ
- ค้นหาชื่อตัวเองบน Search Engine เพื่อดูว่ามีข้อมูลใดที่อาจต้องปรับปรุง
- ตั้งค่าความเป็นส่วนตัวให้เหมาะสมกับแต่ละแพลตฟอร์ม
ใส่ข้อมูลส่วนตัวแค่พอจำเป็น
การใส่ข้อมูลส่วนตัวเท่าที่จำเป็นช่วยลดความเสี่ยงด้านความเป็นส่วนตัว โดยควรเปิดเผยเฉพาะข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับงานหรือการติดต่อที่จำเป็น หลีกเลี่ยงการแชร์รายละเอียดที่อาจถูกนำไปใช้ในทางที่ไม่เหมาะสม เช่น ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ หรือข้อมูลทางการเงิน และตั้งค่าความเป็นส่วนตัวของบัญชีให้เหมาะสมกับการใช้งานแต่ละแพลตฟอร์ม
สร้างแพลตฟอร์มแยก
การแยกแพลตฟอร์มสำหรับการใช้งานแต่ละประเภทช่วยจัดการ Digital Footprint ให้เป็นระเบียบและลดความเสี่ยงด้านความเป็นส่วนตัว สามารถทำได้โดย
- แยกบัญชีสำหรับการทำงานและบัญชีส่วนตัว
- ใช้ LinkedIn หรือเว็บไซต์พอร์ตโฟลิโอ สำหรับการทำงานและสร้างภาพลักษณ์มืออาชีพ
- ใช้ Facebook, Instagram หรือ TikTok สำหรับการสื่อสารส่วนตัวและความบันเทิง
- ใช้ที่อยู่อีเมลแยกกัน
- ใช้อีเมลที่เป็นทางการสำหรับงาน เช่น ชื่อจริง@บริษัท.com
- ใช้อีเมลทั่วไปสำหรับการสมัครโซเชียลมีเดียหรือบริการออนไลน์
- ตั้งค่าความเป็นส่วนตัวตามประเภทของแพลตฟอร์ม
- บัญชีส่วนตัวควรตั้งค่าให้เห็นเฉพาะกลุ่มเพื่อนหรือคนรู้จัก
- บัญชีที่ใช้ในงานควรเปิดเผยเฉพาะข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับอาชีพ
- ใช้เบราว์เซอร์และอุปกรณ์แยกกันหากจำเป็น
- ใช้โหมดไม่ระบุตัวตน (Incognito) หรือแยกโปรไฟล์ในเบราว์เซอร์สำหรับงานและเรื่องส่วนตัว
- ใช้คอมพิวเตอร์หรือมือถือแยกกันสำหรับงานและเรื่องส่วนตัวเพื่อความปลอดภัยของข้อมูล
- บริหารจัดการเนื้อหาที่โพสต์ในแต่ละแพลตฟอร์ม
- หลีกเลี่ยงการแชร์เนื้อหาที่ไม่เกี่ยวข้องกับเป้าหมายของแพลตฟอร์มนั้นๆ
- ตรวจสอบโพสต์และข้อมูลที่เปิดเผยในที่สาธารณะเพื่อป้องกันผลกระทบในอนาคต
ข้อดีจาก Digital Footprint
Digital Footprint ไม่ได้มีแค่ความเสี่ยง แต่ยังมีข้อดีที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ คือ
- สร้างภาพลักษณ์ที่ดีและน่าเชื่อถือ สามารถใช้ Digital Footprint ในการแสดงความเป็นมืออาชีพ เช่น การโพสต์บทความ แสดงผลงาน หรือสร้างโปรไฟล์ LinkedIn
- เพิ่มโอกาสทางอาชีพและธุรกิจ นายจ้างหรือพันธมิตรทางธุรกิจสามารถค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับคุณและพิจารณาความสามารถก่อนติดต่อเสนองานหรือโอกาสใหม่ๆ
- ช่วยสร้างเครือข่ายและโอกาสทางสังคม การมี Digital Footprint ที่ดีคือการช่วยให้เข้าถึงกลุ่มคนที่มีความสนใจเหมือนกัน ทั้งในเชิงธุรกิจและไลฟ์สไตล์
- สามารถใช้เป็นเครื่องมือสร้างแบรนด์ส่วนตัว ใช้แพลตฟอร์มออนไลน์ในการสร้างตัวตน เช่น การเป็นอินฟลูเอนเซอร์ หรือผู้เชี่ยวชาญในสายงานของตนเอง
- ช่วยให้ได้รับข้อมูลและข้อเสนอเฉพาะบุคคล เว็บไซต์และแพลตฟอร์มสามารถนำข้อมูลมาปรับแต่งประสบการณ์ให้ตรงกับความสนใจ เช่น โฆษณาสินค้า บริการ หรือเนื้อหาที่เกี่ยวข้อง
- เป็นหลักฐานและประวัติผลงานออนไลน์ สามารถใช้ Digital Footprint เป็นแฟ้มสะสมผลงาน (Portfolio) หรือข้อมูลยืนยันประสบการณ์การทำงานได้
ข้อจำกัดจาก Digital Footprint
Digital Footprint มีข้อจำกัดที่ควรระวัง เพราะข้อมูลที่ถูกบันทึกและเผยแพร่บนโลกออนไลน์สามารถส่งผลกระทบต่อความเป็นส่วนตัวและภาพลักษณ์ในระยะยาว โดยข้อจำกัดที่สำคัญ ได้แก่
- ข้อมูลอาจถูกนำไปใช้ในทางที่ผิด ข้อมูลที่เผยแพร่สู่สาธารณะอาจถูกดัดแปลง นำไปใช้แอบอ้าง หรือใช้เพื่อโจมตีทางไซเบอร์
- ความเป็นส่วนตัวอาจถูกละเมิด ระบบติดตามข้อมูลและคุกกี้ในเว็บไซต์อาจบันทึกพฤติกรรมการใช้งานโดยที่ผู้ใช้ไม่รู้ตัว
- การลบข้อมูลทำได้ยาก แม้ว่าจะลบโพสต์หรือบัญชีแล้ว ข้อมูลอาจยังคงอยู่ในระบบสำรอง (Cache) หรือถูกบันทึกโดยบุคคลอื่น
- ส่งผลต่อภาพลักษณ์ในระยะยาว โพสต์หรือความคิดเห็นในอดีตอาจถูกขุดขึ้นมาและส่งผลเสียต่อโอกาสในการทำงานหรือธุรกิจ
- เสี่ยงต่อการโจรกรรมข้อมูลส่วนตัว (Identity Theft) ข้อมูลที่เปิดเผยมากเกินไปอาจทำให้ตกเป็นเป้าหมายของมิจฉาชีพ เช่น การปลอมแปลงตัวตน
- ข้อมูลอาจถูกตรวจสอบโดยนายจ้างหรือหน่วยงานต่างๆ องค์กรหรือ HR อาจใช้ Digital Footprint ในการพิจารณารับเข้าทำงาน ซึ่งอาจส่งผลกระทบหากมีข้อมูลที่ไม่เหมาะสม
- ถูกจำกัดการเข้าถึงบางบริการหรือโอกาส บางประเทศหรือองค์กรอาจใช้ Digital Footprint ในการคัดกรองผู้สมัครงาน นักเรียน หรือผู้ขอวีซ่า
สรุป
Digital Footprint คือ ร่องรอยข้อมูลที่เกิดจากการใช้งานออนไลน์ ซึ่งมีทั้งข้อดีและข้อจำกัด หากบริหารจัดการอย่างเหมาะสม สามารถใช้สร้างภาพลักษณ์ที่ดี เพิ่มโอกาสทางอาชีพ และเสริมความน่าเชื่อถือได้ แต่หากไม่ระมัดระวัง อาจเสี่ยงต่อการละเมิดความเป็นส่วนตัว หรือส่งผลเสียต่อโอกาสในอนาคต การตั้งค่าความเป็นส่วนตัวให้รัดกุม ลบข้อมูลที่ไม่จำเป็น และใช้แพลตฟอร์มอย่างมืออาชีพ เช่น LinkedIn หรือเว็บไซต์สมัครงานอย่าง JobsDB ช่วยให้โปรไฟล์ดูน่าสนใจและเข้าถึงโอกาสงานที่เหมาะสมมากขึ้น
บทความอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง