สำหรับเรื่องราวของ Work Life Balance นั้นถือเป็นเทรนด์ที่เกิดขึ้นมาสักพักแล้ว จวบจนการมาถึงของโควิด-19 ที่หลายบริษัทต้องปรับตัวมาใช้การ Work From Home แบบเต็มสตรีม เมื่อสถานการณ์โรคระบาดเริ่มคลี่คลาย ก็ยังมีบางบริษัทที่ยังมีการให้พนักงานทำงานจากที่บ้าน สลับกับการเข้าออฟฟิศ รวมไปถึงการนำจุดขายเรื่อง Work From Home มาเป็นหนึ่งในสวัสดิการออฟฟิศ
หลายบริษัทเริ่มให้ความสำคัญกับเรื่องของ Work Life Balance มากขึ้น ผ่านสวัสดิการต่างๆ ที่น่าดึงดูดใจ เพื่อเติมเต็มความสุขให้กับพนักงานจากการทำงานที่เคร่งเครียดและหนักหน่วง อีกทั้งยังเป็นการตอบรับเทรนด์การทำงานรูปแบบใหม่ เพื่อให้เหมาะกับคน Gen Z และโลกดิจิทัลให้มากขึ้น เราลองมาดูกันดีกว่า ในยุคนี้มีสวัสดิการอะไรบ้าง ที่ตอบโจทย์คนยุคนี้
สวัสดิการ
แน่นอนว่าการมาของโควิด-19 ทำให้หลายบริษัทได้รับรู้ว่าจริงๆ แล้ว งานต่างๆ สามารถเดินหน้าต่อไปได้ โดยที่พนักงานไม่จำเป็นต้องมานั่งรวมกันในออฟฟิศ แต่สามารถทำงานจากที่ไหนก็ได้ เพราะเทคโนโลยีสมัยนี้ก้าวหน้าไปมาก เราสามารถติดต่อกันผ่านวิดีโอคอลหรือแอปพลิเคชันต่างๆ ได้อย่างอิสระ แม้สถานการณ์โรคระบาดจะคลี่คลายไปเยอะแล้ว แต่โควิด-19 ก็ยังอยู่กับเรา ไม่ได้หายไปไหน จึงทำให้องค์กรยุคใหม่หลายที่ มีนโยบาย WFH 50% และทำงานที่ออฟฟิศอีก 50% หรือบ้างที่ก็มีการปรับสัดส่วนที่แตกต่างกันออกไปตามขนาดองค์กร ทั้งนี้เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นและยังคงการรักษะระยะห่างตามวิถี New Normal
ซึ่งองค์กรยุคใหม่ที่ใช้นโยบาย ก็มีการปรับเรื่องของการประเมินพนักงานด้วย โดยการเน้นวัดผลที่เนื้องานมากขึ้น ให้มากกว่าการวัดผลจากพฤติกรรมการเข้างานหรือเวลาการทำงาน เมื่อพนักงานยังได้ WFH อยู่ อาจจะอย่างน้อย 1 วันต่อสัปดาห์ แค่นี้ก็สามารถช่วยให้พนักงานรู้สึกผ่อนคลายได้มากขึ้นแล้ว
สานต่อจากสวัสดิการข้อแรกที่เมื่อบางบริษัทปรับเรื่องการประเมินพนักงาน เป็นการเน้นที่ตัวผลงาน ดังนั้นจึงมีการปรับในเรื่องของเวลาการเข้า-ออกงานให้เป็นแบบ Flexible Hours ด้วย เช่น วันจันทร์-พุธ เข้างาน 09.00-18.00 น. ส่วนวันพฤหัสบดี-ศุกร์ เข้างาน 10.00-19.00 น. เป็นต้น แต่ก็มีบางบริษัทเช่นกัน ที่แทบจะไม่ได้กำหนดเวลาเข้า-ออกงานแบบตายตัวเลย คือให้พนักงานมาทำงานตอนกี่โมงก็ได้ แต่ให้ดูตามความเหมาะสม ขอเพียงแค่มีความรับผิดชอบต่องานให้เสร็จทันตามกำหนด
ซึ่งจุดนี้ถือเป็นเรื่องที่ดี เพราะพนักงานจะได้ไม่กดดันหรือเร่งรีบจนเกินไปในการมาทำงาน เพราะเราเชื่อว่าทุกคนนั้นก็อยากเริ่มต้นวันทำงานด้วยความสดใสแทบทั้งสิ้น หากวันไหนโชคร้ายเจอฝนตกตอนเช้า รถติด รถไฟฟ้าเสีย แต่ยังต้องรีบเบียดเสียดคนแสนล้านมาถึงที่ทำงานให้ทันเวลา รับรองได้เลยว่าวันนั้นจะต้องเป็น Bad Day ของใครหลายคนแน่ๆ จนอาจลามไปเรื่องประสิทธิภาพในการทำงานอีกด้วย
จริงๆ แล้วเทรนด์เรื่องของการรักสุขภาพ ก็เป็นสิ่งที่หลายคนใส่ใจกันมาอย่างต่อเนื่องอยู่แล้ว แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า พอมีโควิด-19 เกิดขึ้น ยิ่งทำให้คนยุคนี้ใส่ใจเรื่องสุขภาพมากขึ้นอีกเป็น 2 เท่า หนำซ้ำยังมีโรคใหม่ๆ เกิดขึ้นมาเพิ่มอีกต่างหาก นั่นจึงให้หลายบริษัทเริ่มมีสวัสดิการที่ใส่ใจในเรื่องของสุขภาพที่วาไรตี้มากขึ้น เพิ่มเติมจากประกันสุขภาพที่ทุกบริษัทมักมีให้พนักงานเป็นสวัสดิการพื้นฐานกันอยู่แล้ว ทีนี้ลองมาดูกันดีกว่าในยุคนี้มีสวัสดิการด้านสุขภาพอะไรใหม่ๆ ที่น่าสนใจกันบ้าง
หลายองค์กรเริ่มมีการนำสิทธิประโยชน์ด้านการออกกำลังกายมาให้พนักงานได้เสริมสร้างสุขภาพกันแล้ว เช่น สิทธิ์ส่วนลดหรือการใช้บริการฟิตเนสเซ็นเตอร์ชั้นนำ, จัดคลาสพิเศษ เช่น คลาสโยคะในออฟฟิศ หรือ จัดทำห้องออกกำลังกายในออฟฟิศ เป็นต้น
สำหรับคนที่ไม่ใช่สายฟิตแบบจัดเต็ม ก็อาจจะชอบอะไรที่ผ่อนคลายกว่านั้น หรือบางคนอาจอยากบรรเทาอาการออฟฟิศซินโดรม ตัวเลือกสวัสดิการเกี่ยวกับการนวดเพื่อสุขภาพหรือผ่อนคลาย ก็เป็นอะไรที่น่าสนใจเช่นกัน เช่น บางบริษัทอาจกำหนด Budget ให้พนักงานไปนวดตามร้านต่างๆ แล้วนำใบเสร็จมาเบิกได้ หรือบางที่ก็มีการเชิญ Therapist มาให้บริการถึงที่ออฟฟิศก็มีเช่นกัน
ด้วยสภาวะการทำงานที่เครียดระหว่างวัน บางองค์กรจึงมีการทำห้องนอนหรือห้องพักผ่อนเอาไว้ให้พนักงานได้พักงีบหรือสงบสติอารมณ์เพื่อกำจัดความเครียด เพราะบางบริษัทเชื่อว่าถ้าพนักงานได้พักผ่อนสักแปบ แล้วตื่นมาอย่างสดชื่น จะช่วยทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานดียิ่งขึ้น
แต่หากใครที่เครียดจัดๆ แม้แต่การพักงีบหรือผ่อนคลายก็ยังไม่ช่วย การปรึกษาจิตแพทย์เพื่อปรับอารมณ์ก็ถือเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่บางองค์กรเริ่มหันมาให้ความสำคัญกันบ้างแล้ว โดยอาจมีการให้เชิญจิตแพทย์มาให้คำปรึกษาถึงที่ออฟฟิศ หรือจัดหาเบอร์โทรศัพท์ให้พนักงานได้โทรไปปรึกษาปัญหากันแบบฟรีๆ
สำหรับสวัสดิการประเภทนี้อาจไม่ใช่เรื่องใหม่สักเท่าไร เพราะมีหลายๆ บริษัทที่มีบริการอาหารกลางวันให้พนักงานมาสักพักแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการจัดเตรียมเมนูมื้อพิเศษจากร้านชื่อดังให้พนักงานได้ลิ้มลองกันในทุกๆ วัน หรือบางที่ก็เปลี่ยนเป็นการให้งบเป็นค่าอาหารกลางวันต่อเดือนแทน เพื่อให้อิสระแก่พนักงานในการเลือกทานอาหารที่อยากทานตามใจชอบ โดยสวัสดิการนี้น่าจะใจใครหลายคนเป็นแน่ เพราะถือเป็นส่วนช่วยในการประหยัดค่าใช้จ่ายชั้นดีในยุคเศรษฐกิจฝืดเคืองเช่นนี้
เพื่อสร้างเสริมสัมพันธภาพที่ดีแก่พนักงานทุกคนทุกกลุ่มในออฟฟิศ ทั้งยังเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยสำคัญในการคลายเครียดให้แก่พนักงาน บางบริษัทจึงมักจัดกิจกรรมต่างๆ ให้พนักงานได้ร่วมกันสนุกในเวลาว่าง เช่น กิจกรรมดูหนังฟังเพลง, เล่นเกมกระชับมิตร, ประกวดการแต่งกาย และอื่นๆ อีกมากมาย
ในแต่ละวันหรือแต่ละสัปดาห์ที่ทุกคนทำงานกันมาอย่างหนักหน่วง พนักงานแต่ละคนต่างก็อยากมีเวลาผ่อนคลายด้วยกันทั้งสิ้น บางครั้งการจัด Happy Hours ประจำวัน หรือจัดเป็นวันพักผ่อนในช่วง 2-3 ชั่วโมงก่อนเลิกงาน อย่าง Happy Friday ในวันสุดท้ายของการทำงานประจำสัปดาห์ ก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ โดยอาจจะมีการซื้อขนม ของทานเล่น เครื่องดื่ม มาให้พนักงานได้ทานและเม้าท์มอยกัน ก็เป็นอะไรที่หลายๆ ที่เริ่มหันมาสนใจกันมากขึ้น
เทรนด์การท่องเที่ยวนั้นก็มาแรงไม่แพ้เทรนด์สุขภาพ บางองค์กรจึงมักจัดเป็น Outing หรือทริปเที่ยวประจำปี หรือถ้าดีกว่านั้นหน่อยก็อาจจะมีการให้ตั๋วเครื่องบินเที่ยวในประเทศหรือต่างประเทศกับพนักงาน รวมไปถึงส่วนลดกับโรงแรมที่พักและสายการบินชั้นนำต่างๆ
การเรียนรู้ไม่มีวันสิ้นสุด ดังนั้นการใฝ่หาความรู้เพิ่มเติมจึงถือเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยให้พนักงานได้เสริมทักษะและนำมาปรับใช้กับงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น นี่จึงเป็นอีกหนึ่งสวัสดิการสำคัญที่หลายองค์กรยินดีมอบให้พนักงาน เช่น จัดคอร์สอบรมหรือการเรียด้านต่างๆ ให้แบบฟรีๆ ไม่ว่าจะเป็นคอร์สอบรม คอร์สการใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์แบบเฉพาะทาง เป็นต้น หรือบางที่ก็มีการเชิญครูมาจัดคลาสพิเศษกันถึงที่บริษัทก็มีเช่นเดียวกัน
เรื่องของวันลาถือเป็นสวัสดิการขั้นพื้นฐานที่ทุกคนต้องได้รับอยู่แล้ว แต่เพื่อตอบรับโลกที่หลากหลายและเปิดกว้างมากยิ่งขึ้น หลายบริษัทจึงเริ่มมีการวันลาพิเศษมาเพื่อเจาะตลาดคนในหลายกลุ่มมากขึ้น เช่น วันลาสำหรับคุณพ่อมือใหม่ที่ภรรยาเพิ่งคลอด วันลาสำหรับชาว LGBTQ+ ที่อาจใช้เพื่อการผ่าตัดแปลงเพศ หรือ ลาแต่งงาน เป็นต้น
ในยุคเศรษฐกิจฝืดเคืองแบบนี้ สวัสดิการด้านการเงินถือเป็นสิ่งจำเป็นแก่พนักงานอย่างมาก หลายบริษัทต่างออกนโยบายมาช่วยเหลือพนักงานเต็มที่ อาทิ ระบบโบนัสที่มีมากกว่าปีละ 1 ครั้ง, การกู้เงินฉุกเฉิน, การกู้เงินเพื่อซื้อที่พักอาศัย หรือส่วนลดในการซื้อสินค้ากับพันธมิตรต่างๆ เป็นต้น
การเปลี่ยนแปลงในยุค New Normal และยุคดิจิทัล คือสิ่งที่ทุกภาคส่วนต้องเริ่มปรับตัวกันอย่างจริงจัง รวมไปถึงเรื่องราวของสวัสดิการต่างๆ ที่หลายบริษัทต่างก็งัดกลยุทธ์เด็ดมาเพื่อมัดใจพนักงานกันมากมาย สิ่งเหล่านี้จะเป็นตัวช่วยให้พนักงานปราศจากความเครียดในการทำงาน มีความสุขที่อยู่ในได้บริษัท ทั้งนี้ก็เป็นเพื่อการเก็บคนเก่งๆ เอาไว้ในบริษัทให้ได้ยาวนานที่สุด แถมยังมีโอกาสได้ดึงคนใหม่ๆ ที่มีความสามารถมาช่วยเสริมทัพให้บริษัทได้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น ส่วนพนักงานก็มีสิทธิ์เลือกที่จะอยู่บริษัทที่จะฟิตเข้ากับไลฟ์สไตล์ของตัวเองได้มากที่สุดเช่นกัน
ส่วนใครที่กำลังมองหางานดีๆ พร้อมสวัสดิการที่โดนใจ คลิกเข้ามาที่ JobsDB ได้เลย เพราะมีงานคุณภาพให้คุณได้เลือกกันเพียบ!
Employee flexible benefits สวัสดิการโดนใจคนรุ่นใหม่ ทำงานสนุก ลุกนั่งสบาย การเปลี่ยนแปลงที่มาพร้อมกับวิถี New Normal และโลกยุคดิจิทัล ที่องค์กรต้องเร่งปรับตัวให้ทัน เพื่อเก็บคนเก่งไว้ได้ และดึงดูดคนมีความสามารถให้เข้ามาทำงานด้วย หาผู้สมัครที่ตรงใจต้องคลิกเข้าไปที่แอปพลิเคชัน JobsDB
ดาวน์โหลดได้แล้ววันนี้ทั้ง iOS และ Android
https://th.jobsdb.com/th-th/articles/%e0%b8%aa%e0%b8%a7%e0%b8%b1%e0%b8%aa%e0%b8%94%e0%b8%b4%e0%b8%81%e0%b8%b2%e0%b8%a3%e0%b8%9e%e0%b8%99%e0%b8%b1%e0%b8%81%e0%b8%87%e0%b8%b2%e0%b8%99/
https://th.jobsdb.com/th-th/articles/%e0%b8%aa%e0%b8%a7%e0%b8%b1%e0%b8%aa%e0%b8%94%e0%b8%b4%e0%b8%81%e0%b8%b2%e0%b8%a3%e0%b9%81%e0%b8%a3%e0%b8%87%e0%b8%87%e0%b8%b2%e0%b8%99/