เคยรู้สึกไหมว่า...ถึงเวลาควรได้เงินเดือนเพิ่ม แต่ไม่แน่ใจว่าควรเรียกเงินเดือนเพิ่มเท่าไรถึงจะ “พอดี” ไม่มากไปจนถูกปฏิเสธ และไม่ต่ำเกินไปจนพลาดโอกาส? ไม่ว่าจะเป็นคนทำงานที่อยู่กับบริษัทเดิมมาหลายปีแล้วอยากขอขึ้นเงินเดือน คนที่กำลังจะย้ายงานใหม่ หรือแม้แต่เด็กจบใหม่ที่เพิ่งเริ่มต้นเส้นทางอาชีพ เรื่อง “การเรียกเงินเดือน” คือศิลปะที่ต้องอาศัยทั้งข้อมูล ความมั่นใจ และเทคนิคการต่อรองอย่างมืออาชีพ!
ก่อนจะขอขึ้นเงินเดือน ไม่ใช่แค่ความอยากได้เพียงอย่างเดียวที่สำคัญ แต่ควรพิจารณาปัจจัยหลายด้านเพื่อให้คำขอของคุณมีน้ำหนักและสมเหตุสมผล การเตรียมตัวและทำความเข้าใจเรื่องเหล่านี้จะช่วยให้การพูดคุยเรื่องเงินเดือนราบรื่นขึ้นและมีโอกาสสำเร็จสูงกว่า
ค่าประสบการณ์หมายถึงจำนวนปีที่ทำงานในสายงานนั้นๆ รวมถึงคุณภาพของประสบการณ์ที่สะสมมา หากมีทักษะเฉพาะทาง (Specialized Skills) เช่น Data Analytics, SEO, AI หรือ Digital Strategy ซึ่งเป็นที่ต้องการในตลาด สิ่งเหล่านี้สามารถเป็นเหตุผลที่ดีในการขอขึ้นเงินเดือน เพราะบริษัทมักให้ค่าตอบแทนสูงขึ้นสำหรับคนที่มีคุณค่าเฉพาะตัว หากใครที่เพิ่งจบใหม่หรือทำงานมาได้ไม่กี่ปี อาจจะใช้การเรียนเพิ่มเติมและฝึกอบรมในหลักสูตรต่างๆ รวมถึงผลงานชิ้นโบแดงอันสุดแสนจะภูมิใจ สามารถนำมาพิจารณาแปรเปลี่ยนเป็นค่าเงินได้เช่นเดียวกัน
หากได้รับมอบหมายงานเพิ่มขึ้น เช่น รับผิดชอบงานที่ซับซ้อนขึ้น ควบคุมงบประมาณ ต้องดูแลทีม ตัดสินใจในระดับสำคัญ หรือวางแผนโครงการแทนหัวหน้า นั่นเป็นเหตุผลที่ดีในการขอปรับเงินเดือนให้สอดคล้องกับภาระงาน การเปลี่ยนจาก “ผู้ปฏิบัติ” ไปสู่ “ผู้บริหารจัดการ” นั้นหมายถึงการได้เพิ่มคุณค่าให้บริษัทในระดับโครงสร้าง
ศึกษาว่าค่าตอบแทนสำหรับตำแหน่งงานและสาขาในตลาดเป็นเท่าไร และใช้ข้อมูลจากแหล่งที่เชื่อถือได้ ก่อนขอขึ้นเงินเดือน เพื่อจะได้ทราบว่าตำแหน่งเดียวกันในตลาดได้ค่าตอบแทนเฉลี่ยเท่าไร การมีตัวเลขอ้างอิงที่จับต้องได้จะช่วยให้การเจรจาเป็นไปอย่างมีเหตุผล ไม่รู้สึกเหมือนการต่อรองด้วยความรู้สึก ทำให้โอกาสที่จะได้รับเงินเดือนเพิ่มก็สูงตามไปด้วย
สภาพเศรษฐกิจโดยรวมและนโยบายการขึ้นเงินเดือนของบริษัทมีผลต่อความเป็นไปได้ในการเรียกเงินเพิ่ม หากบริษัทอยู่ในช่วงขยายตัว มีกำไรสูง บริษัทเพิ่งผ่านโครงการใหญ่สำเร็จ หรือช่วงรีวิวผลงานประจำปี โอกาสที่คำขอเพิ่มเงินเดือนจะได้รับการตอบรับก็มากขึ้น แต่ถ้าเศรษฐกิจซบเซาหรือบริษัทอยู่ในช่วงประหยัด อาจต้องเตรียมตัวเจรจาอย่างระมัดระวัง
ตลาดแรงงานให้ค่ากับ “คนที่ไม่หยุดพัฒนา” หากเพิ่งจบหลักสูตรที่เกี่ยวข้องกับงาน เช่น Data Visualization, Performance Marketing หรือ Project Management การนำเสนอว่าได้ลงทุนเวลาเรียนรู้เพื่อเพิ่มศักยภาพ เป็นเหตุผลที่ดีและชัดเจนในการขอปรับเงินเดือน เพราะนั่นหมายถึงสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้บริษัทได้มากขึ้น
นอกจาก “ตัวเลขรายได้” ที่ต้องพิจารณาแล้ว สวัสดิการและค่าตอบแทนอื่นๆ ก็สำคัญไม่แพ้กัน เช่น โบนัสปลายปี ประกันสุขภาพ ในบางบริษัทอาจแลกด้วยความยืดหยุ่นในการทำงาน เช่น Work from Home หรือ Hybrid เข้าออฟฟิศ 2–3 วันต่อสัปดาห์ พร้อมเบิกค่าเดินทาง ค่าอินเทอร์เน็ต หรือมีอาหารกลางวันให้ฟรี รวมถึงสามารถเบิกค่าเรียนคอร์สต่างๆ เพื่อพัฒนาตัวเองได้ ซึ่งเมื่อรวมแล้วอาจคุ้มค่ากว่าการได้เงินเดือนเพิ่มเพียงเล็กน้อย ควรมองภาพรวมของ Total Compensation ไม่ใช่เพียงแค่ตัวเลขเงินเดือนเท่านั้น
ส่วนนี้คือค่าใช้จ่ายแฝงที่หลายคนมักมองข้าม เช่น เดินทางไกลขึ้น ย้ายสาขาใหม่ หรือการย้ายงานใหม่ซึ่งไม่ใช่แค่เปลี่ยนตำแหน่ง แต่เปลี่ยนสังคมรอบตัวด้วย ซึ่งรวมถึงค่าเดินทาง ค่าที่พัก ค่าภาษีสังคม และค่าใช้จ่ายชีวิตประจำวัน หากออฟฟิศตั้งอยู่ใจกลางเมือง ค่าครองชีพย่อมสูงขึ้นตามไปด้วย ไลฟ์สไตล์และการใช้ชีวิตก็จะเปลี่ยนไป สิ่งเหล่านี้ถือเป็น Fix cost ที่ควรคำนึงถึง เพราะมีผลต่อการพิจารณาเรียกเงินเดือน แต่ต้องนำเสนออย่างมืออาชีพและเชื่อมโยงกับคุณค่าที่สร้างให้กับบริษัทด้วย
แม้ว่าจะทำงานอยู่กับบริษัทเดิมมานาน การขอขึ้นเงินเดือนก็ไม่ใช่เรื่องง่าย จำเป็นต้องประเมินตัวเองและทำความเข้าใจตลาดแรงงานอย่างรอบด้าน การเตรียมตัวล่วงหน้าและมีเหตุผลชัดเจนจะช่วยให้คำขอมีโอกาสสำเร็จสูงขึ้น
ก่อนขอขึ้นเงินเดือน ควรประเมินตัวเองอย่างรอบด้าน เช่น
ค่าตอบแทนที่สอดคล้องกับมูลค่างานที่ทำมา
ศักยภาพและประสบการณ์ที่เพิ่มขึ้น
ทักษะเฉพาะทางหรือความเชี่ยวชาญใหม่ๆ
ผลงานที่สร้างให้บริษัทอย่างเป็นรูปธรรม
นอกจากนี้ ควรพิจารณาเกณฑ์ตลาดแรงงานและค่าครองชีพ รวมถึงภาระค่าใช้จ่ายส่วนตัว และเลือกช่วงเวลาที่เหมาะสม เช่น ช่วงรีวิวประจำปี หรือหลังปิดโปรเจกต์ใหญ่ เพื่อให้คำขอสอดคล้องกับงบประมาณและจังหวะขององค์กร ให้ตัวเลขที่เรียกขึ้นเงินเดือนมีความสมเหตุสมผลและยืนอยู่บนพื้นฐานของความจริง
เริ่มจากตรวจสอบอัตราเฉลี่ยการปรับขึ้นเงินเดือนในตลาด ซึ่งมักอยู่ที่ประมาณ 5–10% ต่อปี ต้องพิจารณา ผลงาน เวลาทำงาน และค่าตำแหน่งในตลาด ควรนำข้อมูลเปรียบเทียบตลาดแรงงานและผลงานของตัวเองมาประกอบ เพื่อให้คำขอมีน้ำหนักและน่าเชื่อถือ
สูตรคำนวณ
เงินเดือนใหม่ = เงินเดือนปัจจุบัน × (1 + เปอร์เซ็นต์ปรับตามผลงาน)
เปอร์เซ็นต์ปรับตามผลงาน ปกติ 5–15% ต่อปี
กรณีมีโบนัส ถ้ามีโบนัสประจำปี ให้คิดรวมเงินเดือน + โบนัสก่อนคำนวณ
ตัวอย่าง
เงินเดือนปัจจุบัน 25,000 บาท ผลงานโดดเด่น ขอขึ้น 10% จะได้ 25,000 × 1.10 = 27,500 บาท/เดือน
เมื่อตัดสินใจย้ายงานหรือเปลี่ยนตำแหน่ง การขอขึ้นเงินเดือนมักมีโอกาสสูงกว่าการอยู่ที่เดิม แต่การเรียกเงินเดือนก็ต้องอิงกับคุณค่าและตลาดแรงงาน การเตรียมตัวและประเมินตัวเองอย่างรอบด้านจะช่วยให้เรียกเงินได้อย่างสมเหตุสมผลและมั่นใจ
ก่อนย้ายงาน ควรประเมินตัวเองในหลายด้าน เช่น
ช่วงเงินเดือนของตำแหน่งใหม่ในตลาดแรงงาน ตรวจสอบว่าตำแหน่งที่คุณสมัครมีเรตเงินเดือนเฉลี่ยเท่าไร
คุณสมบัติเทียบตำแหน่งใหม่ วิเคราะห์ว่าทักษะและประสบการณ์ตรงกับความต้องการมากน้อยแค่ไหน
ทักษะเฉพาะทาง (Hard Skills) เช่น Data, Digital ภาษาอังกฤษ หรือ Project Management
ประสบการณ์ตรงที่เกี่ยวข้อง เคยดูแลโปรเจกต์คล้ายกัน หรือมีผลงานเด่นที่สามารถยกเป็นกรณีศึกษา
โดยทั่วไป การขอเพิ่มจากเงินเดือนเดิมสามารถอยู่ในช่วง 15–30% อย่างสมเหตุสมผล ขึ้นอยู่กับคุณค่าที่จะสามารถเพิ่มให้กับองค์กรใหม่
การคำนวณเงินเดือนใหม่หลังย้ายงาน ควรตั้งอยู่บนพื้นฐานของข้อมูลจริง ไม่ใช่การคาดเดา เพราะตลาดแรงงานในแต่ละอุตสาหกรรมมีช่วงเงินเดือนที่แตกต่างกัน โดยตรวจสอบเรตเงินเดือนเฉลี่ยของตำแหน่งที่สมัคร ประสบการณ์ และทักษะของตัวเอง
โดยประมาณการปรับเงินเดือนสำหรับผู้ย้ายงานสามารถแบ่งเป็น ดังนี้
10–15% ย้ายงานในสายเดิม ระดับตำแหน่งใกล้เคียงกัน
20–25% มีทักษะเฉพาะทาง หรือมีประสบการณ์ตรงที่ตลาดต้องการ
30% ขึ้นไป ตำแหน่งใหม่ระดับสูงกว่าเดิม หรือมีภาระความรับผิดชอบเพิ่มมาก
สูตรคำนวณ
เงินเดือนเรียกใหม่ = เงินเดือนปัจจุบัน + (เงินเดือนปัจจุบัน × เปอร์เซ็นต์เพิ่มที่เหมาะสม)
เปอร์เซ็นต์เพิ่มที่เหมาะสม ปกติ 10–30% ขึ้นอยู่กับความต้องการตลาดและทักษะของคุณ
กรณีมีโบนัส นำเงินเดือนรวมโบนัสมาคิดด้วย
เงินเดือนรวมโบนัส = เงินเดือนต่อเดือน × 12 + โบนัสประจำปี
ตัวอย่าง
เงินเดือนปัจจุบัน 20,000 บาท + โบนัส 3 เดือน = 20,000 × 12 + 60,000 = 300,000 บาทต่อปี
ต้องการเพิ่ม 20% จะเป็น 300,000 × 1.2 = 360,000 บาทต่อปี เงินเดือนใหม่ประมาณ 24,000 บาท/เดือน
สำหรับเด็กจบใหม่ การเรียกเงินเดือนต้องมีเหตุผลรองรับและสมเหตุสมผล แม้ไม่มีประสบการณ์ทำงานเต็มตัว แต่สามารถใช้วุฒิการศึกษา ทักษะ และผลงานระหว่างเรียนเป็นตัวช่วยในการต่อรอง การประเมินตัวเองอย่างรอบด้านจะทำให้คำขอเงินเดือนมีน้ำหนักและเพิ่มโอกาสได้รับข้อเสนอที่เหมาะสม
ก่อนเรียกเงินเดือน ควรประเมินตัวเองในหลายด้าน เช่น
วุฒิการศึกษาและสายงานที่ตรงกับตำแหน่ง
อัตราเงินเดือนเริ่มต้นในสายงานนั้นๆ เพื่อดูค่าเฉลี่ยของตลาด
ผลงานระหว่างเรียนหรือฝึกงาน เช่น โปรเจกต์ที่เกี่ยวข้อง หรือการแข่งขันที่เกี่ยวกับสายงาน
ทักษะที่ตลาดต้องการ เช่น Digital Marketing, Excel การสื่อสารภาษาอังกฤษ หรือทักษะ AI เบื้องต้น
เด็กจบใหม่ไม่จำเป็นต้องเรียกเงินเดือนสูงสุดในตลาด แต่ควรอ้างอิงจากค่าเฉลี่ยตำแหน่ง ทักษะ ค่าครองชีพ ฝึกงานตรงสาย ให้บวกเพิ่ม 5–10% หากมีผลงานจริงหรือใบรับรองทักษะเฉพาะ (Digital, Data หรือ ภาษา) ให้บวกเพิ่มอีก 10% วิธีนี้ช่วยให้เด็กจบใหม่สามารถเรียกเงินเดือนอย่างสมเหตุสมผลและมั่นใจในความสามารถของตนเอง
สูตรคำนวณ
เงินเดือนจบใหม่ = เงินเดือนเริ่มต้นเฉลี่ยในตลาด + (ทักษะพิเศษหรือความสามารถเพิ่มเติม)
ตัวอย่าง
ตำแหน่ง Programmer จบใหม่ จะได้เงินเดือนเฉลี่ย 20,000 บาท
หากมีทักษะพิเศษ เช่น ภาษา Python ระดับสูง หรือมีโปรเจกต์น่าสนใจ อาจบวกเพิ่ม 1,000–3,000 บาท
ก่อนที่ไปเจรจาเรื่องเงินเดือน สิ่งสำคัญคือการเตรียมตัวให้พร้อมทั้งข้อมูลและท่าที การต่อรองเงินเดือนไม่ใช่แค่เรื่องของตัวเลข แต่เป็นการสื่อสารคุณค่าและความเป็นมืออาชีพของตัวคุณเอง
รู้มูลค่าตัวเองก่อนเจรจา ทำความเข้าใจว่าคุณมีทักษะ ประสบการณ์ และผลงานที่ตรงกับความต้องการตลาดแค่ไหน ใช้เว็บไซต์หรือข้อมูลตลาดแรงงานเป็นตัวอ้างอิง
ตั้งเป้าหมายเงินเดือนที่ชัดเจน กำหนดช่วงเงินเดือนที่ต้องการล่วงหน้า อย่าไปเจรจาโดยไม่รู้ว่าตัวเองคาดหวังอะไร
เริ่มด้วยความมั่นใจและท่าทีเป็นมืออาชีพ แสดงออกถึงความมั่นใจ แต่ไม่โอ้อวด ใช้ภาษากายและน้ำเสียงที่เป็นมืออาชีพ
ใช้เทคนิค “ช่วงเงินเดือน” แทนที่จะให้ตัวเลขเดียว เสนอช่วงเงินเดือน เช่น 25,000–28,000 บาท เพื่อเปิดช่องต่อรองและความยืดหยุ่น
อย่าลืมสวัสดิการและโบนัส เงินเดือนไม่ใช่ปัจจัยเดียว พิจารณาสวัสดิการ โบนัส วันลา หรือสิทธิประโยชน์อื่นๆ รวมไว้ในการเจรจา
ซ้อมเจรจาก่อนจริง ลองฝึกพูดต่อหน้าเพื่อนหรือครอบครัว เพื่อให้คำพูดและท่าทีเป็นธรรมชาติ
รู้จักเวลาและบริบท เลือกช่วงเวลาที่เหมาะสม เช่น หลังจากที่คุณได้เสนอผลงานดีๆ หรือเมื่อบริษัทกำลังวางแผนงบประมาณ
ไม่ว่าจะทำงานอยู่ที่เดิม ย้ายงาน หรือเป็นเด็กจบใหม่ สิ่งสำคัญคือต้องประเมินตัวเองก่อน ทั้งประสบการณ์ ทักษะ ผลงาน และคุณค่าที่คุณนำไปสู่บริษัท รวมถึงดูตลาดแรงงานและภาวะเศรษฐกิจรอบตัว สำหรับการอยู่ที่เดิม ควรเลือกช่วงเวลาที่เหมาะสมและให้เหตุผลชัดเจน ส่วนการย้ายงานมักมีโอกาสเรียกเงินเพิ่มสูงกว่า แต่ก็ต้องสมเหตุสมผล เด็กจบใหม่แม้ไม่มีประสบการณ์เต็มตัว ก็สามารถใช้วุฒิ ทักษะ และผลงานระหว่างเรียนต่อรองได้ เทคนิคสำคัญคือรู้มูลค่าตัวเอง ตั้งเป้าหมายเงินเดือนชัดเจน ต่อรองด้วยความมั่นใจ ใช้ช่วงเงินเดือนแทนตัวเลขเดียว พิจารณาสวัสดิการและโบนัส และซ้อมเจรจาก่อนจริง ทุกอย่างคือการสื่อสารคุณค่าและความเป็นมืออาชีพของคุณเอง
ถ้าคุณกำลังอยากย้ายงาน เปลี่ยนงาน หรือแม้แต่เป็นเด็กจบใหม่ที่อยากเริ่มต้นเส้นทางอาชีพอย่างมั่นใจ ตรงกับความสามารถและเป้าหมายถือเป็นก้าวสำคัญที่จะช่วยให้คุณบรรลุเป้าหมายในชีวิต อย่าลืมหางานผ่าน Jobsdb แพลตฟอร์มหางานที่รวบรวมตำแหน่งงานหลากหลายสาขา ทำให้คุณค้นหาโอกาสใหม่ๆ ได้ง่ายและตรงกับความสนใจของตัวเอง!
แนะนำ 10 ทักษะชีวิตที่เด็กจบใหม่ควรมี ก่อนเริ่มทำงานครั้งแรก
การลาออกจากงานกะทันหัน ทำอย่างไรให้ถูกต้องและไม่กระทบที่ทำงาน
หนังสือรับรองเงินเดือนนำไปใช้ทำอะไร สำคัญอย่างไรต่อชีวิตการทำงาน
หลายคนอาจยังคงสงสัยเรื่องควรเรียกเงินเดือนเพิ่มเท่าไร เราได้รวบรวมคำถามที่น่าสนใจ พร้อมคำตอบมาให้แล้ว!
การขึ้นเงินเดือน 3% หมายถึงเงินเดือนปัจจุบันจะเพิ่มขึ้น 3% ของจำนวนเงินเดิม เช่น หากเงินเดือนคุณ 20,000 บาท เพิ่ม 3% ก็จะได้เพิ่ม 600 บาท เป็น 20,600 บาท การคำนวณแบบนี้ใช้ได้ทั้งกับเงินเดือนประจำปีและเงินเดือนรายเดือน ขึ้นอยู่กับนโยบายของบริษัท
สามารถตรวจสอบได้จากการสำรวจตลาดแรงงาน เช่น เว็บไซต์หางาน Jobsdb ข้อมูลเงินเดือนเฉลี่ยของตำแหน่งเดียวกันในอุตสาหกรรมเดียวกัน หรือสอบถามจากคนในสายงานเดียวกัน การมีข้อมูลอ้างอิงจะช่วยให้คุณเรียกเงินเดือนได้สมเหตุสมผลและมั่นใจมากขึ้น
การคำนวณเงินเดือนขึ้นกี่เปอร์เซ็นต์ทำได้ง่ายๆ ด้วยสูตรนี้
เงินเดือนใหม่ = เงินเดือนเดิม × (1 + 100เปอร์เซ็นต์เพิ่ม)
ตัวอย่างเช่น ถ้าเงินเดือนเดิม 20,000 บาท และบริษัทขึ้น 5%
เงินเดือนใหม่ = 20,000 × (1 + 1005) = 20,000 × 1.05 = 21,000 บาท
สรุปคือ เพิ่ม 5% = เพิ่มเงิน 1,000 บาท จากเดิม 20,000 บาท วิธีคิดแบบนี้ใช้ได้กับทุกเปอร์เซ็นต์การขึ้นเงินเดือน
ไม่ถือว่าน่าเกลียด ถ้ามีเหตุผลรองรับ เช่น ประสบการณ์ ทักษะ ผลงาน และความสามารถที่ตรงกับตลาด การเรียกเงินเดือนสูงอย่างมีหลักการคือการสื่อสารคุณค่าและความเป็นมืออาชีพของคุณเอง สำคัญคือต้องเสนออย่างสุภาพและเป็นเหตุเป็นผล