เทรนด์การทำงานในปัจจุบัน นอกจากการทำงานให้มีประสิทธิภาพแล้ว การจัดระเบียบชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัวอย่างสมดุล ก็เป็นสิ่งที่สำคัญไม่แพ้กัน นอกจากจะทำงาน Work Hard เพียงอย่างเดียว เราต้องรู้จักการ Work Smart ด้วย แนวคิด Work-Life Balance เป็นที่นิยมมากขึ้นในกลุ่มคนวัยทำงาน เพราะปัญหาหนึ่งที่คนวัยทำงานพบได้บ่อยครั้ง คือการสูญเสียสมดุลชีวิตระหว่างการทำงาน และชีวิตส่วนตัว จนทำให้เราไม่มีความสุขในการทำงาน นำไปสู่ปัญหาสุขภาพ และปัญหาชีวิตตามมาได้ นั่นจึงทำให้มนุษย์วัยทำงานหลายคนเริ่มมองหาชีวิตที่สมดุลมากขึ้น
คำว่า “สมดุล” หมายถึง ทั้งสองฝั่งที่มีความเท่ากัน เพราะฉะนั้น Work-Life Balance จึงหมายถึงการแบ่งระหว่างชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัวออกเป็น 2 ส่วน ในสัดส่วนที่เราพึงพอใจและรู้สึกว่าเหมาะสมกับวิถีชีวิตของเรา
จากงานวิจัยเรื่อง “คุณภาพชีวิตในการทำงานและความสมดุลของชีวิตในการทำงานของพนักงานระดับปฏิบัติการเจนเนอเรชัน X และเจนเนอเรชัน Y” โดยสราวลี แซงแสวง คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พบว่า ปัจจัยเรื่องจังหวะชีวิตที่มีความสมดุลระหว่างชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัว เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้คนทำงานในเจนเนอเรชัน X และเจนเนอเรชัน Y มีระดับคุณภาพชีวิตในการทำงานที่ดีขึ้น โดยความสมดุลระหว่างชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัวนี้ อาจมาพร้อมกับระยะเวลาในการปฏิบัติงานที่มีความยืดหยุ่น สภาพแวดล้อมในองค์กรที่อำนวยความสะดวกให้พนักงานสามารถผ่อนคลายระหว่างทำงานและหลังทำงานได้ เช่น มีบริการห้องออกกำลังกาย ห้องพักผ่อน มุมทำงานหลากหลายแบบ เป็นต้น การมอบหมายงานให้เหมาะสมกับระยะเวลาในการทำงาน หลีกเลี่ยงการเอางานกลับไปทำต่อที่บ้านเพื่อให้พนักงานมีเวลาส่วนตัวหลังเลิกงานมากขึ้น สามารถแบ่งเวลาในการทำงานและใช้ชีวิตในแบบที่ต้องการได้ดียิ่งขึ้น
นอกจากนี้ยังมีผลสำรวจว่า องค์กรที่มีนโยบายสนับสนุนแนวคิด Work Life Balance หรือสนับสนุนการสร้างสมดุลระหว่างการทำงาน และการใช้ชีวิต จะทำให้พนักงานมีความรู้สึกในแง่บวกกับ องค์กร ทุ่มเทกับการทำงานอย่างสุดความสามารถ และมีความพยายามที่จะทำงานอย่างเต็มประสิทธิภาพมากขึ้น
สำหรับองค์กรหรือบริษัทที่มีคนทำงานหลายช่วงอายุ หรือหลายเจนเนอเรชัน การวางแผนบริหารองค์กรเพื่อสนับสนุนแนวคิด Work Life Balance จึงต้องเริ่มจากการศึกษาและเรียนรู้ความต้องการของคนทำงานในแต่ละเจนเนอเรชันเสียก่อน ว่ากลุ่มช่วงอายุในการทำงาน ช่วงไหน กลุ่มไหน ต้องการ Work Life Balance แบบไหน เพื่อที่จะได้รู้ว่าต้องสร้างความสมดุลแบบไหนให้ตอบโจทย์กับสิ่งที่พนักงานมองหา
โดยกลุ่มช่วงอายุวัยทำงาน จะแบ่งออกเป็น สองกลุ่ม Generations หลัก ๆ ได้ ดังนี้
เริ่มกันที่กลุ่มแรกกับคนรุ่นใหม่ที่เพิ่งเริ่มหรือกำลังจะเริ่มก้าวเข้าสู่ชีวิตการทำงานอย่าง Generation Z ซึ่งมีอายุระหว่าง 10-21 ปี จากแบบสำรวจ Decoding Talent Survey ที่ SEEK จัดทำร่วมกับ BCG และ The Network พบว่า คนทำงาน Generation Z ต้องการงานที่มี Work-Life Balance มีบรรยากาศในการทำงานที่ดี สนุกสนาน และมีความยืดหยุ่นในการทำงานแบบ Remote Working มีความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างเพื่อน และหัวหน้า มีรูปแบบการทำงานในลักษณะของ Partner ไม่ใช่ เจ้านาย-ลูกน้อง รวมไปถึงการเปิดโอกาสให้ Upskill และ Reskill ทักษะอยู่เสมอ
เพราะคน Gen Z มองว่า บริษัทไม่ใช่เพียงแค่สถานที่ตั้งของออฟฟิศเท่านั้น แต่รวมไปถึงความสุข ค่านิยมองค์กรที่ตรงกับทัศนคติ โดยพบว่า คน Gen Z ร้อยละ 53 จะไม่เลือกเข้าทำงานกับองค์กรที่ไม่มีนโยบายด้านความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมแตกต่างจากที่คิด นอกจากนี้พบว่า คนไทยร้อยละ 63 จะไม่เลือกเข้าทำงานกับองค์กรที่ไม่สนับสนุนความหลากหลายและความเท่าเทียมทางเพศ และ วัฒนธรรม ความเชื่อ ดังนั้น การปรับรูปแบบการทำงานให้มีความยืดหยุ่น นำเทคโนโลยีเข้ามาใช้อำนวยความสะดวกในการทำงาน รวมไปถึงค่านิยมในการยอมรับความเท่าเทียม ความหลากหลายทางเพศในที่ทำงาน จึงเป็นเรื่องที่องค์กรควรใส่ใจ ให้ความสำคัญ และให้การสนับสนุนเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของคนทำงาน Gen Z
Generation Y
คนทำงานรุ่น Gen Y ที่มีช่วงอายุประมาณ 22 – 38 ปี เรียกได้ว่าอยู่ในกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่เพิ่งเรียนจบและเริ่มต้นใช้ชีวิตในวัยทำงานอย่างเต็มตัว แล้วองค์กรแบบไหนล่ะ ที่กลุ่มคนรุ่นใหม่อยากทำงานด้วย นอกจากความมั่นคง สิ่งที่คนรุ่นใหม่มองหาจากองค์กรก็คือ การทำงานแบบยืดหยุ่น ( Flexible Working ) ซึ่งเป็นสิ่งที่คนรุ่นใหม่มองว่า นี่แหละคือ "อิสระของการทำงาน" เพราะให้ความรู้สึกว่าอยากทำงาน มากกว่าการที่ต้องทำงาน
สิ่งที่องค์กรจะตอบโจทย์ให้กับคนรุ่นใหม่ได้ดีที่สุด คือการพัฒนาระบบการทำงานรูปแบบใหม่ ให้ยืดหยุ่นเหมาะสม และตอบโจทย์พฤติกรรมการทำงานของคนรุ่นใหม่ที่ปรับเปลี่ยนไป เช่น การให้สิทธิ Work from Home สัปดาห์ละ 1-2 วัน คือสามารถทำงานที่ไหนก็ได้ ไม่ต้องเข้าออฟฟิศ แต่ต้องมีงานส่งตามกำหนด เป็นต้น เหมือนเพิ่มโควตาวันพักผ่อน ให้เพิ่มขึ้นอีก 1 วัน ในสัปดาห์นั้น ๆ ช่วยลดความเครียดในการเดินทางมาทำงาน และลดความรู้สึกจำเจจากการนั่งทำงานในสถานที่เดิมซ้ำ ๆ
อีกหนึ่งรูปแบบคือ Term-time working การทำงานที่อนุญาตให้พนักงานสามารถกำหนดวันเวลาในการทำงานและวันหยุดได้ด้วยตัวเอง เป็นรูปแบบการทำงานที่มีการจัดทำเป็นแบบแผนหรือแจ้งให้ทราบล่วงหน้า โดยในช่วงวันที่หยุด พนักงานจะไม่ได้รับค่าจ้าง แต่ยังจัดว่าเป็นพนักงานประจำที่มีหน้าที่รับผิดชอบให้ต้องเข้ามาทำงาน ระบบนี้จะช่วยเพิ่มความสมดุลชีวิตให้กับพนักงานกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มีธุระอย่างอื่นที่อยากทำ เช่น อยากแบ่งเวลาไปเรียนต่อ หรืออยากเปิดธุรกิจส่วนตัว เป็นต้น
Generation X
มาที่กลุ่มที่สองกับคนทำงานรุ่น Gen X ที่มีช่วงอายุ 39 – 53 ปี พฤติกรรมและลักษณะนิสัยของคนกลุ่มนี้ ที่เด่นชัดคือ มักจะชอบอะไรง่าย ๆ ไม่ต้องเป็นทางการ และอยู่ในช่วงวัยที่เริ่มสร้างครอบครัว จึงมักจะมีแนวคิดที่ต้องการสร้างความสมดุลในเรื่องงานและครอบครัว เพราะฉะนั้น Work Life Balance ที่กลุ่มคนช่วงอายุ Gen X ต้องการ คือ เวลาพักผ่อน ได้ไปเที่ยว หรือใช้เวลาอยู่กับครอบครัว สิ่งที่องค์กรจะตอบโจทย์ให้กับคนกลุ่มนี้ได้ดีที่สุด คือ การปรับระบบการทำงานที่ให้มีความอิสระในการทำงานมากขึ้นโดยไม่ไปก้าวก่าย ควบคุม และให้ความสำคัญกับการใช้เวลาของการทำงาน เช่น การทำงานรูปแบบ Compressed hours เป็นความยืดหยุ่นที่เหมือนกับการทำงานแบบ Remote Working นั่นคือ พนักงานจะทำงานจากมุมไหนของโลกหรือเวลาไหนก็ได้ แบบไม่มีการจำกัดทั้งเวลาและสถานที่ ซึ่งมุ่งผลไปที่ผลลัพธ์ของผลงานหรือผลสำเร็จจากการว่าจ้างและการทำงานเพียงเท่านั้น โดยอาจมีการทำสัญญารองรับเรื่องผลลัพธ์หรือผลงานให้มีการวัดผลตามข้อตกลง เพื่อความมั่นใจและสบายใจของทั้งบริษัทและตัวคนทำงานเอง
อีกหนึ่งรูปแบบคือ การทำงานแบบ Annual hours เป็นรูปแบบการทำงานที่ได้รับการตอบรับดีในต่างประเทศ เพราะมีความยืดหยุ่นเรื่องชั่วโมงการทำงานแบบรายปี จึงทำให้พนักงานสามารถมีวันลาพักร้อนยาวได้ ตามแผนการทำงานของตัวเอง เหมาะสำหรับองค์กรที่มีการทำงานตลอดทั้งปี หรืองานบริการที่ต้องเปิดให้บริการทุกวัน ซึ่งล้วนตอบโจทย์ความต้องการให้กับคนทำงานในกลุ่มช่วงอายุ Gen X ได้เป็นอย่างดี
จากสามกลุ่ม Generations ที่ยกตัวอย่างมานี้ สิ่งที่สำคัญและตอบโจทย์ แนวคิด Work Life Balance ได้ดีที่สุดสำหรับองค์กร คือความ “สมดุล” การมีระบบการทำงานขององค์กรที่ยืดหยุ่น ช่วยให้องค์กรของคุณ มีโอกาสได้คนที่มีพรสวรรค์ในการทำงานมาร่วมงานเพิ่มขึ้น มากกว่าการมีข้อจำกัดในเงื่อนไขการทำงานตามระบบแบบเดิม การปรับนโยบายบริษัทเพื่อตอบโจทย์สมดุลชีวิตให้กับพนักงานเช่นนี้จะช่วยเพิ่มความน่าสนใจให้องค์กรของคุณเป็นหนึ่งในองค์กรที่ผู้สนใจสมัครงานและกลุ่มคนทำงานรุ่นใหม่มองหา ลองปรับรูปแบบบริษัทของคุณ ให้กลายเป็นบริษัทในฝันของคนทำงานด้วยการสนับสนุนแนวคิด Work Life Balance เพื่อสร้างความสมดุลให้กับการทำงาน และการใช้ชีวิต
ดาวน์โหลดได้แล้ววันนี้ทั้ง iOS และ Android
https://th.jobsdb.com/th-th/articles/workation%e0%b8%87%e0%b8%b2%e0%b8%99%e0%b8%97%e0%b8%b4%e0%b8%9e%e0%b8%a2%e0%b9%8c%e0%b8%97%e0%b8%b8%e0%b8%81%e0%b8%aa%e0%b8%b2%e0%b8%a2%e0%b8%ad%e0%b8%b2%e0%b8%8a%e0%b8%b5%e0%b8%9e/
https://th.jobsdb.com/th-th/articles/%e0%b8%97%e0%b8%b3%e0%b8%87%e0%b8%b2%e0%b8%99%e0%b8%ab%e0%b8%a5%e0%b8%b1%e0%b8%87%e0%b8%a7%e0%b8%b1%e0%b8%99%e0%b8%ab%e0%b8%a2%e0%b8%b8%e0%b8%94%e0%b8%a2%e0%b8%b2%e0%b8%a7/