จริงๆ เรื่องราวของโลกการทำงานไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในออฟฟิศเท่านั้น ยังมีอะไรที่อยู่นอกเหนือชีวิตการทำงานประจำในบริษัท เช่น บางคนตั้งความฝันไว้ตั้งแต่วัยเรียนว่า อยากมีธุรกิจเป็นของตัวเอง อยากทำงานแบบอิสระ โดยที่ไม่ต้องเป็นลูกน้องใคร ส่วนคนที่กังวลเรื่องความมั่นคง ก็คงตั้งเป้าหมายของตัวเองไว้อีกแบบว่า อยากเติบโตในสายงานที่ตัวเองในถนัด กับการทำงานในบริษัทที่มีชื่อเสียงโด่งดังและมั่นคง โดยหวังไว้ว่าจะได้รับตำแหน่งสูงๆ เงินเดือนเยอะๆ เมื่อประสบการณ์แกร่งกล้า
ซึ่งการเลิกเส้นทางเดินในการทำงานนั้นไม่มีผิดหรือไม่มีถูก อยู่ใครถนัดอย่างไร มีความชอบแบบไหนมากกว่า โดยทั้งงานประจำ และ งานฟรีแลนซ์ ล้วนแล้วแต่ต้องอาศัยความพยายาม ความตั้งใจ และความขยันหมั่นเพียรด้วยกันทั้ง 2 อย่าง แต่งานทั้ง 2 แบบ ล้วนก็มีทั้งข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกันออกแล้ว บทความนี้เราเลยจะมาเจาะลึกเรื่องราวของงานประจำ และ งานฟรีแลนซ์ ให้สำหรับคนที่ยังลังเลในการเลือกทางเดิน เผื่อจะตัดสินใจได้ง่ายขึ้น
งานประจำ หมายถึง งานที่มีเวลาการทำงานที่แน่นอน เช่น ทำงานวันจันทร์-ศุกร์ ตั้งแต่ 09.00-18.00 น. เป็นต้น หากต้องทำงานหลังจากเวลาที่ระบุไว้ ก็จะมีค่าล่วงเวลา (OT) ให้เพิ่มเป็นกรณีพิเศษ โดยคุณจะถือเป็นพนักงานประจำของบริษัทนั้นๆ มีการทำสัญญากันอย่างชัดเจน ด้านรายได้นั้นจะมาได้รูปแบบของเงินเดือน ที่จะมีการตกลงกันตั้งแต่ในขั้นตอนของการสัมภาษณ์ก่อนเริ่มงาน ซึ่งจะเป็นรายได้ที่ได้รับเท่ากันในทุกๆ เดือน ส่วนรายได้พิเศษอื่นๆ ที่เพิ่มเข้ามา ก็ล้วนแล้วแต่เป็นสวัสดิการของบริษัทนั้นๆ
ในส่วนของวันหยุดก็มีระบุไว้อย่างชัดเจน เช่น วันเสาร์-อาทิตย์ รวมไปถึงวันหยุดนักขัตฤกษ์ประจำปี นอกจากนี้ยังวันหยุดให้พนักงานตามกฎหมายด้วย เช่น วันลาพักร้อน, ลากิจ, ลาป่วย และอื่นๆ ที่ถือเป็นสิทธิที่เป็นพนักงานประจำพึงได้รับ
พนักงานประจำจะมีหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบงานที่ได้รับมอบหมายได้เสร็จทันตามกำหนดเวลา หากว่าทำงานนั้นไม่ทัน แล้วต้องอยู่เลยเวลา บางครั้งก็อาจจะไม่ได้รับ OT เพราะถือเป็นความรับผิดชอบของพนักงานเอง แต่บางกรณีที่มีการได้รับ OT ก็คือ อาจจะมีการสั่งจากหัวหน้างาน เป็นต้น นอกจากนี้พนักงานประจำยังมีโอกาสได้รับเงินเดือนในทุกๆ ปี ตามโครงสร้างของแต่ละบริษัท ซึ่งหัวหน้าจะเป็นผู้ประเมินผลงาน รวมไปถึงโบนัสเพิ่มเติม ถ้าบริษัทที่ทำอยู่มีผลประกอบการที่ดี
- มีความมั่นคงและปลอดภัย
- มีรายได้แน่นอนทุกเดือน
- มีสวัสดิการและโบนัสรองรับ
- มีสังคมในการทำงาน
- มีโอกาสเรียนรู้งานจากหัวหน้าหรือเพื่อนร่วมงาน
- มีวันหยุดที่ตายตัวและกำหนดไว้ชัดเจน
- ทำธุรกรรมทางการเงินได้ง่าย เช่น ขอสินเชื่อ กู้ซื้อบ้าน ซื้อรถ
- มีคนจัดการเรื่องต่างๆ ให้ เช่น ภาษี ประกันสังคม
- มีโอกาสสร้างคอนเนคชันใหม่ๆ
- หากถูกให้ออกจากงาน มีโอกาสได้รับเงินชดเชยตามที่กฎหมายระบุไว้
- ต้องทำงานตามเวลาที่กำหนดเวลา ขาดอิสระ
- ต้องทำงานตาม Routine และต้องทำตามคำสั่ง
- เงินเดือนมีเรตตายตัว และต้องรอปรับขึ้นเป็นรายปี
- มีวันหยุดที่แน่นอนก็จริง แต่ก็มีจำนวนจำกัด
- ต้องทำงานตามเวลาที่กำหนดไว้อย่างเข้มงวด
- มีค่าใช้จ่ายในการเดินทางเพิ่ม เพราะต้องออกมาทำงานทุกวัน
- อาจได้ปรับตำแหน่งช้า หรือเงินเดือนขึ้นช้า เมื่ออายุงานมากขึ้น
- อาจเจอปัญหาในที่ทำงาน เช่น การเมืองภายใน หรือเรื่องของคน
ก่อนอื่นคุณอาจต้องลองถามตัวเองก่อนว่า คุณเป็นคนที่ชอบอยู่ในกรอบมากน้อยแค่ไหน ถ้าคุณเป็นคนที่ชอบอะไรที่ตายตัว มีการกำหนดทุกอย่างไว้ชัดเจนแน่นอน ชอบความมั่นคง สามารถใช้ชีวิตอยู่ภายใต้กฎระเบียบได้อย่างไม่กดดัน งานประจำก็น่าจะเหมาะกับคุณ แต่ต้องอย่าลืมยุคสมัยนี้เปลี่ยนไป บางบริษัทก็พยายามสร้างวัฒนธรรมองค์กรแบบใหม่ขึ้น มีการยืดหยุ่นเรื่องต่างๆ ให้พนักงานมากขึ้นกว่าแต่ก่อน เช่น เรื่องเวลาเข้างาน หรือการ WFH ต่างๆ จุดนี้ก็อาจมาช่วยเป็นคะแนนบวกให้กับคนที่ยังลังเลในตัวเองอยู่ก็เป็นได้
อีกทั้งถ้าคุณเป็นคนที่โอเคกับการที่ต้องมีหัวหน้า หรืออยู่ภายใต้บังคับบัญชาคนอื่น รวมไปถึงการต้องทำงานกับผู้คนมากหน้าหลายตา ทั้งเพื่อนร่วมทีมแผนกเดียวกัน คนต่างแผนก รวมไปถึงลูกค้าจากบริษัทอื่นๆ งานประจำก็น่าจะยังเป็นคำตอบที่ใช่
งานฟรีแลนซ์ คือ งานที่สามารถทำได้อย่างอิสระ โดยผู้รับงานสามารถกำหนดตารางการทำงานหรือเลือกรับงานที่อยากทำได้ด้วยตัวเอง ไม่ต้องขึ้นตรงหรือพนักงานกับบริษัทใดบริษัทหนึ่ง ถือเป็นงานอิสระที่คนในยุคปัจจุบันหันมาสนใจกันมากขึ้น โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ที่รักความอิสระเสรี ซึ่งเราสามารถเลือกรับงานได้ด้วยตัวเองเลยว่าอยากทำงานชิ้นนั้นหรือไม่ งานนี้เราถนัดแค่ไหน หรือรายได้สมน้ำสมเนื้อเพียงใด
โดยเรื่องของจำนวนเงินนั้นอยู่ที่การตกลงกันระหว่างเรากับผู้ว่างาน ซึ่งไม่กำหนดไว้ตายตัวขึ้นอยู่กับความพึงพอใจของทั้ง 2 ฝ่าย แต่จริงๆ แล้วตามตลาดงานฟรีแลนซ์ ก็มักมีการกำหนดเรตเงินคร่าวๆ ไว้บ้างตามแต่ละสายงาน แต่การทำงานฟรีแลนซ์ก็ต้องอาศัยทักษะในการทำงานไม่ต่างจากงานประจำ เพราะต้องรังสรรค์ผลงานออกมาให้ดีที่สุดเช่นกัน เพื่อสร้างความประทับใจให้แก่ผู้ว่าจ้าง หากมีงานโปรเจคต์ใหม่มาเพิ่ม ผู้ว่าจ้างก็จะได้เลือกใช้บริการเราต่อไปเรื่อยๆ
นอกจากนี้งานฟรีแลนซ์เรายังสามารถกำหนดเวลาการทำงานได้ด้วยตัวเราเอง ไม่ต้องเสียเวลาตื่นแต่เช้าเดินทางไปเข้าออฟฟิศ อยากทำงานตอนไหนก็แล้วแต่สะดวก จะนั่งทำงานตอนดึก หรือเอางานไปทำนอกสถานที่ก็ไม่มีใครว่า ไม่ต้องมีหัวหน้ามาจู้จี้กวนใจ เพราะก็จะเป็นลูกค้าทีีดีลงานกับเราโดยตรง ผลงานที่ออกมาก็จะเป็นเครดิตของเราโดยตรงเช่นกัน
- มีความยืดหยุ่นในการทำงาน ปรับได้ตามไลฟ์สไตล์ตัวเอง
- มีความอิสระสูง ไม่ต้องโดนกดดันจากคนรอบข้าง
- เลือกจำนวนงานได้เอง ทำมากก็ได้เงินมาก ทำน้อยก็ได้เงินน้อย
- สามารถเลือกงานได้ ปฏิเสธงานที่ไม่อยากทำได้
- ทำงานที่ไหนก็ได้ ทั้งที่บ้าน คาเฟ่ ร้านอาหาร หรือเวลาไปเที่ยว
- กำหนดวันหยุดได้อย่างอิสระ
- ได้สร้างคอนเนคชันผ่านการพบเจอลูกค้าที่หลากหลาย
- ไม่ต้องรับบทเป็นลูกน้องใคร หรือเผชิญความกดดันจากหัวหน้าที่เข้มงวด
- มีโอกาสในการเพิ่มทักษะต่างๆ ให้ตัวเองอย่างไม่จำกัด
- มีรายได้ที่ไม่แน่นอนหรือไม่มั่นคง บางครั้งงานมาแค่โปรเจคต์เดียวแล้วก็หายไป
- ต้องติดต่อหาลูกค้าด้วยตัวเอง
- ต้องอาศัยคอนเนคชันของตัวเองพอสมควร ในการรับงานให้มากพอกับรายจ่าย
- ดำเนินธุรกรรมการเงินยาก เพราะธนาคารอาจมองว่าไม่มั่นคง
- ต้องจัดการเรื่องบัญชีต่างๆ หรือเรื่องของภาษีเองทั้งหมด
- บางอาชีพต้องใช้เงินลงทุน จึงค่อนข้างมีความเสี่ยง
- มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม เช่น ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าอินเทอร์เน็ต เพราะไม่ได้ทำงานในออฟฟิศ
- ไม่มีคนหรือเพื่อนร่วมงานคอยให้ปรึกษา หากงานชิ้นนั้นมีปัญหา
หลักๆ เลยงานประเภทนี้เหมาะกับคนที่ค่อนข้างรักอิสระ อยากเป็นเจ้านายตัวเอง ไม่อยากถูกดดันจากหัวหน้าอันแสนจู้จี้ หรือกฎระเบียบร้อยแปดพันเก้าของบริษัท และต้องเป็นคนที่มีไลฟ์สไตล์ที่ชอบความหวือหวา แปลกใหม่ ไม่อยู่กับที่ พร้อมรับความเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องเป็นคนที่มีความรับผิดชอบสูง สามารถจัดการเรื่องราวต่างๆ ได้ด้วยตัวเองอย่างมีประสิทธิภาพ เพราะถ้าไม่ควบคุมตัวเองดีๆ ก็อาจทำให้เส้นทางอาชีพเสียหายได้เช่นกัน เช่น การทำงานไม่ตรงตามลูกค้า งานออกมาไม่มีคุณภาพ รวมไปถึงเรื่องของเก็บออม เพราะอย่างที่กล่าวไปว่า บางครั้งงานก็อาจไม่ได้เข้ามาให้ทำพร้อมกันๆ อาจจะมีช่วงที่งานหายๆ ไปบ้างเหมือนกัน
ถ้าถามว่าแล้วอยากทำงานทั้ง 2 แบบ คู่กันไปได้ไหม ในยุคปัจจุบันนี้บอกเลยว่าทำได้ แต่คุณก็ต้องมั่นใจว่าตัวเองสามารถบริหารจัดการงานในมือได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะอย่าลืมว่างานจะเพิ่มเป็น 2 เท่า ทั้งงานประจำและงานฟรีแลนซ์ ต้องมีการบริหารจัดการเวลาได้ดีพอสมควร ครั้นจะเอางานฟรีแลนซ์ไปทำในช่วงเวลาของงานประจำ ก็จะดูไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไรนัก
ดังนั้นจึงต้องอาศัยเวลาว่างหลังเลิกงาน หรือช่วงเวลาวันหยุดในการทำงานฟรีแลนซ์ แต่ก็ต้องยอมรับให้ได้ด้วยว่า เวลาพักผ่อนของคุณจะหายไปพอสมควร แต่ก็แลกกับการมีรายได้เสริมอีก 1 ทาง ที่จะช่วยให้คุณมีเงินเก็บเพิ่มมากขึ้น แถมยังได้ประสบการณ์หรือทักษะมาแบบคูณสอง ก็ต้องลองชั่งใจดู ว่าถ้าหากทำงานทั้ง 2 แบบควบคู่กันไปแล้ว จะไม่ทำให้ตัวเองเครียดหรือเหนื่อยจนเกินไป
งานทั้ง 2 แบบ 2 สไตล์ ก็ล้วนแล้วแต่มีข้อดีข้อเสียแทบทั้งนั้น หลักๆ เลยก็คือ ต้องนำทุกอย่างมาเทียบกับลักษณะนิสัยและไลฟ์สไตล์ของตัวคุณด้วยว่า คุณเป็นคนที่ชอบอยู่ในกรอบและความมั่นคง หรือเป็นคนที่รักอิสระ มากกว่ากัน แล้วทุกอย่างจะกลายเป็นคำตอบออกมาให้คุณเอง ว่างานประจำ หรือ งานฟรีแลนซ์ งานไหนที่ตรงใจคุณมากกว่ากัน ส่วนใครที่กำลังมองหาที่ใช่ JobsDB ก็พร้อมเสิร์ฟงานคุณภาพให้คุณได้เลือกในทุกๆ สายงานแล้ว
ดาวน์โหลดได้แล้ววันนี้ทั้ง iOS และ Android
คว้างานที่ใช่ ด้วยการค้นหางานที่ง่ายและรวดเร็ว พร้อมทั้งจัดการเรซูเม่อย่างมีประสิทธิภาพ ให้คุณอัปโหลด ดู และลบได้ทุกเมื่อที่ต้องการ เพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การใช้งานแสนง่าย ด้วยระบบ AI ใหม่ ช่วยค้นหางานที่ตรงใจมากขึ้นถึง 6 เท่า
https://th.jobsdb.com/th-th/articles/%e0%b8%82%e0%b9%89%e0%b8%ad%e0%b8%94%e0%b8%b5%e0%b8%82%e0%b8%ad%e0%b8%87%e0%b8%9e%e0%b8%99%e0%b8%b1%e0%b8%81%e0%b8%87%e0%b8%b2%e0%b8%99%e0%b8%9b%e0%b8%a3%e0%b8%b0%e0%b8%88%e0%b8%b3/
https://th.jobsdb.com/th-th/articles/%e0%b8%81%e0%b8%a5%e0%b8%b1%e0%b8%9a%e0%b8%a1%e0%b8%b2%e0%b8%97%e0%b8%b3%e0%b8%87%e0%b8%b2%e0%b8%99%e0%b8%9b%e0%b8%a3%e0%b8%b0%e0%b8%88%e0%b8%b3/