Key Takeaway
Incentive คือเครื่องมือสำคัญที่หลายองค์กรใช้เพื่อกระตุ้นพนักงานให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพและมุ่งสู่เป้าหมายที่กำหนด โดยอาจอยู่ในรูปแบบของโบนัส รางวัล หรือสิทธิประโยชน์ต่างๆ นอกจากจะช่วยเพิ่มแรงผลักดันในการทำงานแล้ว ยังสามารถสร้างบรรยากาศที่ส่งเสริมความทุ่มเทของพนักงานได้อีกด้วย
บทความนี้จะพาไปรู้จักวิธีการคำนวณ Incentive ที่ใช้กันโดยทั่วไป พร้อมทั้งเจาะลึกปัจจัยที่มีผลต่อการกำหนด Incentive เพื่อให้องค์กรสามารถนำไปปรับใช้ได้อย่างเหมาะสมและเกิดประโยชน์สูงสุด
โดยทั่วไปแล้ว Incentive คือค่าอะไร ค่า Incentive คือค่าตอบแทนพิเศษหรือค่ารางวัลจูงใจที่องค์กรมอบให้พนักงาน โดยสัมพันธ์กับผลงานที่พนักงานทำได้จริง เพื่อกระตุ้นให้เกิดแรงจูงใจในการพัฒนาผลงานอย่างต่อเนื่อง โดยทั่วไปแล้วอาจอยู่ในรูปแบบของเงินโบนัสที่เพิ่มขึ้นตามระดับความสำเร็จ
แต่การสร้างแรงจูงใจไม่ได้มีเพียงวิธีนี้เท่านั้น องค์กรยังสามารถใช้วิธีอื่นๆ ที่เหมาะสมกับวัฒนธรรมและความต้องการของพนักงาน เช่น การให้สวัสดิการที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ หรือการยอมรับและชื่นชมในที่ทำงาน ซึ่งล้วนเป็นวิธีที่ช่วยส่งเสริมแรงจูงใจได้อย่างมีประสิทธิภาพเช่นกัน
Incentive คือค่าตอบแทนที่องค์กรสามารถเลือกให้ได้หลายรูปแบบ ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์และลักษณะการทำงาน โดยหลักๆ แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้
ค่าอินเซนทีฟประเภทนี้มักเป็นการให้ในรูปแบบของเงินโดยตรง ซึ่งอาจจ่ายควบคู่กับเงินเดือนหรือจ่ายแยกต่างหากจากรอบเงินเดือนปกติ ตัวอย่างเช่น ค่าตอบแทนพิเศษ เงินสวัสดิการ หรือเงินส่วนแบ่งกำไร โดยทั่วไปแล้วจะเป็นเงินที่ได้รับเพิ่มเติมจากค่าแรงขั้นต่ำ เพื่อสร้างแรงจูงใจในการทำงานและผลักดันให้พนักงานสร้างผลงานได้ดียิ่งขึ้น
การให้รางวัลในลักษณะนี้ไม่ใช่การจ่ายเงินสดโดยตรง แต่เป็นการมอบสิ่งของหรือสิทธิพิเศษที่มีมูลค่าและดึงดูดใจพนักงาน เช่น ทริปท่องเที่ยว วันหยุดพิเศษ คอร์สผ่อนคลาย โรงแรมระดับ 5 ดาว บัตรกำนัล ทองคำ หรือส่วนลดพิเศษในการซื้อสินค้าของบริษัทและบริษัทในเครือ เป็นต้น รูปแบบเหล่านี้สามารถออกแบบให้สอดคล้องกับกฎหมายแรงงานและวัฒนธรรมขององค์กร เพื่อกระตุ้นให้พนักงานทำงานอย่างมีประสิทธิภาพและรู้สึกผูกพันกับองค์กรมากยิ่งขึ้น
วิธีคำนวณค่า Incentive นั้นสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 รูปแบบหลัก โดยแต่ละแบบมีหลักการคิดที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับเป้าหมายและนโยบายขององค์กร ดังนี้
รางวัลประเภทนี้เป็นการให้แบบรายบุคคล เพื่อกระตุ้นให้พนักงานทำงานให้บรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ เช่น พนักงานฝ่ายขาย (อาชีพ Sales) ที่สามารถหาลูกค้าใหม่ได้ จะได้รับรางวัลเพิ่มอีก 20% หรือหากทำยอดขายได้เกินเป้า อาจได้รับตั๋วเครื่องบินไปเที่ยวต่างประเทศฟรี เป็นต้น รูปแบบนี้ช่วยสร้างแรงจูงใจเฉพาะบุคคลและวัดผลได้ชัดเจนจากผลงานส่วนตัว
ตัวอย่างการคำนวณ Incentive รายบุคคล
พนักงาน A มีเป้าหมายยอดขาย 150,000 บาทต่อเดือน หากทำยอดขายเกินเป้าหมาย จะได้รับ Incentive เป็น 10% ของยอดขายที่เกิน เช่น หากทำยอดขายได้ 180,000 บาท จะได้รับ Incentive เท่ากับ 30,000 บาท x 10% = 3,000 บาท
Incentive ของพนักงานบางครั้งอาจถูกมอบให้เป็นรางวัลสำหรับทั้งทีม แผนก หรือพนักงานทั้งบริษัท เพื่อกระตุ้นให้ทุกคนร่วมมือกันบรรลุเป้าหมายที่บริษัทตั้งไว้ โดยรางวัลจะถูกแบ่งอย่างเท่าเทียมกัน อย่างไรก็ตามบางองค์กรก็มีการแบ่ง Incentive ตามผลงานส่วนบุคคล เช่น หากบริษัททำยอดขายได้ 100 ล้านบาทในปีหนึ่ง อาจจัดทริปไปเที่ยวญี่ปุ่นให้กับพนักงานทั้งหมดหรือแบ่งกำไร 1% ทุกไตรมาสให้กับพนักงานทุกคน
ตัวอย่างการคำนวณ Incentive แบบกลุ่ม
บริษัทตั้งเป้าหมายกำไร 50 ล้านบาทต่อปี หากบริษัทสามารถทำกำไรได้ตามเป้าหมาย พนักงานทุกคนจะได้รับ Incentive เทียบเท่ากับเงินเดือน 2 เดือน
การกำหนดการให้ค่า Incentive แก่พนักงานนั้น จำเป็นต้องพิจารณาปัจจัยหลายอย่างควบคู่กัน เพื่อให้เกิดประสิทธิผลสูงสุดในการกระตุ้นแรงจูงใจ ได้แก่
ปัจจัยแรกที่มีผลต่อการกำหนดค่า Incentive คือเป้าหมายของบริษัทซึ่งเป็นกรอบและทิศทางที่องค์กรวางไว้เพื่อให้พนักงานทุกคนทำงานไปในทิศทางเดียวกัน การตั้งเป้าหมายควรทำอย่างเหมาะสมและสามารถทำได้จริง เพื่อป้องกันไม่ให้พนักงานรู้สึกกดดันหรือท้อแท้จนเลิกพยายาม ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อภาพรวมขององค์กร
เป้าหมายที่ดีจึงควรเชื่อมโยงกับงานของพนักงานโดยตรงและสามารถวัดผลได้อย่างชัดเจน เพื่อกระตุ้นแรงจูงใจและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้สูงสุด
ค่า KPI หรือ Key Performance Indicator คือตัวชี้วัดสำคัญที่ใช้วัดผลการปฏิบัติงานของพนักงานหรือองค์กรในด้านต่างๆ เพื่อประเมินว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ถูกทำได้ตามเกณฑ์หรือไม่ ค่า KPI จึงเป็นปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการกำหนดค่า Incentive เพราะช่วยให้การจูงใจเป็นไปอย่างเป็นธรรมและชัดเจน โดยพนักงานที่ทำผลงานได้ตามหรือเกิน KPI จะได้รับรางวัลหรือตอบแทนที่เหมาะสมตามผลลัพธ์นั้นๆ
ผลงานของพนักงานคือตัวชี้วัดความสำเร็จในการทำงานตามหน้าที่และเป้าหมายที่กำหนดไว้ มีบทบาทอย่างมากในการกำหนดค่า Incentive เพราะการให้รางวัลจะขึ้นอยู่กับระดับคุณภาพและปริมาณงานที่พนักงานทำได้ ยิ่งผลงานดีและเกินเป้าหมายมากเท่าไร ก็จะได้รับ Incentive ที่สูงขึ้น ซึ่งช่วยสร้างแรงจูงใจให้พนักงานพัฒนาตัวเองและทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
สัดส่วนและเกณฑ์การจ่ายค่า Incentive คือการกำหนดรูปแบบและมาตรฐานที่ใช้ประเมินว่าพนักงานจะได้รับรางวัลในจำนวนเท่าไรและเมื่อไร ซึ่งปัจจัยนี้มีผลต่อการกำหนดค่า Incentive เพราะช่วยสร้างความชัดเจน โปร่งใส และความยุติธรรมในการจ่ายรางวัล ทั้งยังเป็นแรงจูงใจให้พนักงานพยายามทำงานตามเกณฑ์ที่กำหนด เพื่อให้ได้รับ Incentive อย่างเหมาะสมและสอดคล้องกับผลงานที่แท้จริง
Incentive คือเครื่องมือสำคัญที่องค์กรใช้เพื่อกระตุ้นแรงจูงใจพนักงาน โดยมีทั้งแบบเงินสดและสิทธิพิเศษต่างๆ การให้ Incentive ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น ผลงานของพนักงาน เป้าหมายของบริษัท รวมถึงสัดส่วนและเกณฑ์การจ่ายที่ชัดเจน เพื่อสร้างความยุติธรรมและแรงขับเคลื่อนในการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ หากคุณกำลังมองหางานใหม่ที่ให้ทั้งเงินเดือนดีและค่า Incentive คุ้มค่า ลองเข้าไปค้นหางานคุณภาพได้ที่ Jobsdb เว็บไซต์หางานที่รวมบริษัทชั้นนำไว้มากมาย พร้อมโอกาสดีๆ รอคุณอยู่!
เราได้รวบรวมคำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับค่า Incentive พร้อมคำตอบที่กระชับและเข้าใจง่าย เพื่อช่วยให้คุณไขข้อข้องใจ และเห็นภาพรวมของเครื่องมือสร้างแรงจูงใจนี้ได้อย่างชัดเจน
Incentive มักจะผูกโยงกับผลงานหรือเป้าหมายที่เฉพาะเจาะจงโดยตรง และมีการจ่ายเมื่อทำได้ตามเกณฑ์ ส่วนเงินเดือนคือค่าตอบแทนพื้นฐานที่จ่ายประจำ และโบนัสมักเป็นการจ่ายครั้งเดียวเมื่อสิ้นปีหรือตามผลประกอบการโดยรวมของบริษัท ซึ่งอาจผูกกับผลงานส่วนบุคคลหรือทีมด้วยแต่ไม่เฉพาะเจาะจงเท่า Incentive
มีทั้งแบบตัวเงิน (เช่น เงินสด โบนัสพิเศษ) และไม่ใช่ตัวเงิน (เช่น วันลาเพิ่ม บัตรกำนัล ทริปท่องเที่ยว ของขวัญ การรับรองผลงาน)
ได้ เพราะค่าอินเซนทีฟช่วยสร้างแรงจูงใจและเป้าหมายที่ชัดเจน ทำให้พนักงานมีทิศทางในการทำงานและรู้สึกได้รับการยอมรับเมื่อทำสำเร็จ