เกร็ดสำคัญที่ควรรู้ ก่อนเลือกกลุ่มธุรกิจและบริษัทในการทำงาน

การหางานนับเป็นเรื่องหนึ่งที่ทุกคนในวัยทำงานต่างก็ให้ความสำคัญ ยิ่งถ้าได้ทำงานที่ชอบ ในบริษัทที่ใช่ หลายคนก็มีแนวโน้มที่จะทำงานอยู่ที่นั่นอย่างยาวนาน เพราะคงไม่มีใครอยากเปลี่ยนงานบ่อยๆ โดยเฉพาะเมื่อได้เจองานที่ตอบโจทย์ชีวิต แต่ปัญหาสำคัญอย่างหนึ่งคือการไม่รู้ว่าจะเลือกบริษัทในการทำงานอย่างไรดี ทำให้หลายคนตัดสินใจเลือกงานอย่างผิดพลาด วันนี้เราจะมาแนะนำเกร็ดสำคัญในการเลือกกลุ่มธุรกิจและบริษัทที่จะไปทำงานอย่างตรงจุดและตรงใจมากที่สุด

ก่อนเลือกบริษัทในการทำงานควรดูอะไรบ้าง

ก่อนที่จะเลือกบริษัทในการทำงานนั้น สิ่งแรกๆ ที่เราต้องพิจารณาเสียก่อนว่าเราเหมาะสมกับที่นี่ไหม กลุ่มธุรกิจหรือบริษัทที่เราเลือกมีความน่าสนใจอย่างไร ตรงกับความต้องการพื้นฐานของเราหรือไม่ ซึ่งเราได้รวบรวมเช็คลิสต์ที่สำคัญของการเลือกบริษัทในการทำงานมาให้ดังนี้

1. เลือกบริษัทในการทำงานที่ให้เงินเดือนและผลตอบแทนคุ้มค่า

เป็นเรื่องปกติที่เราต้องเช็คเงินเดือนและผลตอบแทนของแต่ละบริษัทก่อนตัดสินใจเข้าร่วมงาน แน่นอนว่าเป้าหมายในการทำงานของแต่ละคนมีความหลากหลาย เช่น การหาประสบการณ์ การสร้างคอนเนคชั่น

ปฏิเสธไม่ได้ว่าการหาเลี้ยงชีพก็เป็นปัจจัยที่สำคัญมากเช่นกัน เพราะเป็นปัจจัยพื้นฐานในการดำรงชีพ โดยทั่วไปแล้วความคาดหวังด้านเงินเดือนมักจะอยู่ที่ฐานเงินเดือนตามวุฒิการศึกษา ในกรณีที่งานนั้นๆ ต้องการผู้ที่มีความสามารถหรือความเชี่ยวชาญด้านใดเพิ่มเติม ก็อาจมีผลตอบแทนเพิ่มเติมตามความเหมาะสม

2. เลือกบริษัทในการทำงานที่สวัสดิการดี

สิ่งสำคัญต่อมาของการเลือกบริษัทในการทำงานก็คือ สวัสดิการ บริษัทหลายแห่งอาจให้เงินเดือนที่ใกล้เคียงกัน แต่มีสวัสดิการแตกต่างกัน เช่น ค่ารักษาพยาบาล ประกันชีวิต เงินสมทบเมื่อเกษียณอายุ การสนับสนุนอุปกรณ์ในการทำงาน การดูแลสวัสดิการคนในครอบครัว ฯลฯ สิ่งเหล่านี้จะช่วยอำนวยความสะดวกสบาย สร้างความมั่นคงในการทำงาน ทำให้พนักงานทำงานอย่างมีความสุขมากขึ้น

3. เลือกบริษัทในการทำงานที่ปรับตัวอยู่เสมอ

เพราะโลกมีการเปลี่ยนแปลงไปทุกวัน แต่ละบริษัทจึงควรมีการเตรียมความพร้อมเพื่อรับมือต่อการเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้นและส่งผลกระทบต่อการทำงาน เช่น สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 กลายเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้บริษัทเริ่มมีการนำนโยบาย work from home (การทำงานจากที่บ้าน) มาใช้ โดยอาศัยเครื่องมือและระบบออนไลน์ต่างๆ มาช่วยอำนวยความสะดวกในการทำงาน เช่น การประชุมออนไลน์ผ่าน Zoom, Google Meet, WebEx การรับ-ส่งข้อมูลผ่านระบบ cloud ฯลฯ

ปัจจุบันหลายบริษัทยังคงใช้นโยบายดังกล่าว โดยจัดตารางการทำงานให้เข้ามาทำงานที่ออฟฟิศสลับกับการทำงานข้างนอก ถือเป็นความยืดหยุ่น ให้อิสระคนทำงาน ลดเวลาและค่าใช้จ่ายในการเดินทางได้ด้วย

4. เลือกบริษัทในการทำงานที่มีความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน

แม้จะเริ่มต้นทำงาน แต่สิ่งที่ควรรู้แต่เนิ่นๆ คือหากทำงานที่นี่ เราจะมีโอกาสก้าวหน้าในหน้าที่การงานได้อย่างไร รูปแบบการเลื่อนขั้นหรือวัฒนธรรมในการเติบโตของบริษัทนั้นเป็นอย่างไร มีการส่งเสริมให้พนักงานได้รับการพัฒนาตัวเองหรือไม่ เช่น การจัดฝึกอบรมในหัวข้อที่สอดคล้องกับเทรนด์การทำงานหรือตรงกับภาระหน้าที่ การสนับสนุนให้มีการเรียนต่อทั้งในประเทศและต่างประเทศ ฯลฯ ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานให้ดียิ่งขึ้น ทั้งยังมีโอกาสต่อยอดและเติบโตในสายงานของตนเองด้วย

5. เลือกบริษัทในการทำงานที่ work-life balance

สมดุลชีวิต หรือ work-life balance คือปัจจัยพื้นฐานข้อหนึ่งที่คนทำงานควรได้รับ โดยเป็นการจัดสมดุลระหว่างการทำงานกับเวลาส่วนตัวที่จะช่วยให้เราทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ภายใต้สุขภาพกายและสุขภาพใจที่ดี

การเลือกบริษัทในการทำงานจึงควรดูว่าชั่วโมงการทำงานของบริษัทแต่ละแห่งเป็นอย่างไร ทำงานกี่วันต่อสัปดาห์ ต้องทำงานล่วงเวลาหรือไม่ ฯลฯ เพราะการทำงานหักโหมมากเกินไปย่อมไม่เป็นผลดีต่อคนทำงาน รวมถึงส่งผลกระทบต่อคุณภาพงานด้วย

เกร็ดสำคัญสำหรับเลือกบริษัทในการทำงาน

ต่อไปนี้จะเป็นทริคเล็กๆ น้อยๆ ที่เราสามารถใช้เป็นจุดสังเกตก่อนเลือกบริษัทในการทำงาน โดยดูจากปัจจัยเหล่านี้

1. พิจารณาจำนวนพนักงานเทียบกับกำไรบริษัท

หากเปรียบเทียบดูแล้วพบว่า จำนวนพนักงานมีน้อยเมื่อเทียบกับกำไรของบริษัท ก็ยิ่งเป็นผลดีต่อคนทำงาน เพราะจะมีผลต่อการปรับขึ้นเงินเดือน ค่าตอบแทน สวัสดิการ เช่น ลองพิจารณาระหว่างธนาคารหรือสถาบันการเงิน กับ ธุรกิจปิโตรเคมี สมมติว่าได้กำไรหลักหมื่นล้านบาทเท่ากัน แต่ธุรกิจแรกใช้จำนวนคนเยอะกว่า เพราะมีสาขาเยอะ ต้องกระจายคนให้ครอบคลุมทั่วประเทศ ในแง่ของการบริหารจัดการงบประมาณก็แน่นอนว่าธุรกิจที่สองย่อมได้เปรียบกว่า เพราะมีจำนวนคนน้อยกว่า จึงเป็นที่มาของโบนัสแต่ละบริษัทที่จัดสรรได้แตกต่างกัน

2. พิจารณาจำนวนพนักงานเทียบกับขนาดองค์กร

การดูกำไรบริษัทอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ แต่ต้องเปรียบเทียบจำนวนพนักงานกับขนาดองค์กรด้วย หากองค์กรมีขนาดใหญ่ ในขณะที่จำนวนพนักงานมีน้อย โอกาสในการเลื่อนขั้น เลื่อนตำแหน่ง ย่อมมีมากกว่า และอาจใช้เวลาเติบโตไม่นานนัก เพราะมีตำแหน่งระดับสูงรองรับมากกว่า อีกทั้งคนในองค์กรยังมีความสนิทสนม คุ้นหน้าคุ้นตา โอกาสในการแสดงความสามารถหรือโชว์ผลงานก็ทำได้ง่ายกว่า

3. พิจารณาระหว่างบริษัทไทยกับบริษัทต่างชาติ

อย่าลืมเปรียบเทียบข้อแตกต่างระหว่างบริษัทสัญชาติไทยกับบริษัทต่างชาติก่อนตัดสินใจเลือกบริษัทในการทำงาน เพื่อดูว่าเราเหมาะสมกับการทำงานในบริษัทแบบใดมากกว่ากัน เช่น บริษัทไทยมักจะมีวัฒนธรรมระบบอาวุโส การทำงานตามลำดับขั้น การดูแลกันแบบครอบครัว มีความอะลุ้มอล่วย เจรจาต่อรองกันได้ เงินเดือนมีตั้งแต่ระดับปานกลางจนถึงระดับดี

ในขณะที่บริษัทต่างชาติมักจะมีกฎระเบียบที่เข้มงวดกว่า การทำงานต้องคุ้มค่าจ้าง สอดคล้องกับเงินเดือนที่อยู่ในระดับดีถึงดีมาก อีกทั้งต้องพัฒนาตนเองอยู่เสมอ เพราะการแข่งขันสูง โดยเฉพาะเมื่อมีเด็กรุ่นใหม่เติบโตขึ้นมาเรื่อยๆ ในบริษัทไทยอาจให้โอกาสคนที่มีอาวุโสมากสุดในการเลื่อนตำแหน่งหรือได้รับผลประโยชน์ต่างๆ แต่บริษัทต่างชาติจะให้ความสำคัญกับความสามารถและผลงานเป็นหลัก ต่อให้เป็นคนที่มีอาวุโส แต่หากไม่สามารถสร้างประโยชน์ให้แก่บริษัทได้ตามเป้าหมาย ก็มีสิทธิ์ที่จะถูกพิจารณาจ้างออกหรือบีบให้ออกเลยก็ได้

คงจะเป็นเรื่องดีถ้าเราได้ทำงานในกลุ่มธุรกิจหรือบริษัทที่เหมาะสมกับตัวเอง มีเงินเดือน ผลตอบแทน และสวัสดิการที่ดี มีโอกาสก้าวหน้าทางหน้าที่การงานมาก ที่สำคัญคือสามารถจัดสมดุลชีวิต และทำงานอย่างมีความสุขได้ ถ้าลองนำทริคที่เราแนะนำไปใช้เป็นแนวทางสำหรับวางแผนเลือกบริษัทในการทำงาน รับรองว่าจะได้งานที่ตรงใจแน่นอน