10 อันดับประเทศที่คนอยากไปทำงานมากที่สุด 2022

ช่วงหลังมานี้จะเห็นได้ว่าเทรนด์การย้ายประเทศ รวมถึงการไปทำงานต่างประเทศ เริ่มเป็นที่สนใจของคนรุ่นใหม่วัยทำงานมากขึ้น ด้วยสภาวะเศรษฐกิจบ้านเราที่มีแต่จะถดถอย ค่าเงินเฟ้อ ค่าครองชีพสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เรียกว่าสวนทางกับค่าตอบแทนที่ได้ ไหนจะสายในบ้านเราที่ไม่ได้หลากหลายพอที่จะรองรับความถนัดของแต่ละอาชีพ ยิ่งโดยงานทางศิลปะ งานฝีมือ หรืองานเฉพาะทางอย่างวิทยาศาสตร์ วิจัยต่าง ๆ ก็ไม่ได้รับการส่งเสริมเท่าที่ควร

ด้วยปัจจัยที่กล่าวไปบางส่วน ไม่แปลกที่จะทำให้หลายคนพากันหมดใจ หมดไฟแห่งความฝันที่เติบโตในสายงานที่ตัวเองรักต่อไปในประเทศนี้ เพราะดูแล้ว “ปัญหา” ดังกล่าว ไม่ใช่เรื่องที่จะเปลี่ยนแปลงได้ภายในสามวันเจ็ดวันในเร็ว ๆ นี้ ดังนั้น การมองหาประเทศอื่น ๆ จึงเป็นทางเลือกที่เหมาะกับการเพาะปลูกเมล็ดพันธุ์แห่งความหวังและอนาคตที่ดีของคนรุ่นใหม่

10 ประเทศที่ผู้สมัครงานสนใจมากที่สุด

ด้วยความที่ Global Citizen หรือความเป็นพลเมืองของโลกกำลังมาแรง หลาย ๆ ประเทศเปิดรับแรงงานจากต่างชาติและให้อิสระอย่างเสรี โดยเปิดรับสายงานแตกต่างกันไปตามแต่ละประเทศ ส่วนมีประเทศไหนตอบโจทย์เหมาะกับการไปทำงานบ้างนั้น วันนี้ JobsDB รวม 10 ประเทศที่คนสนใจไปทำงานมากที่สุดมาฝากไว้เป็นไกด์ไลน์ ด้านล่างเรียบร้อยแล้ว ไปดูกัน!

อ้างอิงจากการสำรวจของ :  Boston Consulting Group and The Network ร่วมกับ Jobsteet.com และ JobsDB (สำรวจในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้)

1.สหรัฐอเมริกา United States

ดินแดนแห่งเสรีภาพที่หลายคนใฝ่ฝันไปลงหลักปักฐาน ด้วยศักยภาพและความพร้อมต่าง ๆ ที่ครบครัน ที่สำคัญรายได้ขั้นต่ำเฉลี่ยของที่นี่อยู่ที่ 240.88 บาท/ชั่วโมง เรียกว่าแทบจะเท่ากับค่าแรงขั้นต่ำ/วันของเมืองไทย ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับแต่ละรัฐและลักษณะงานที่คุณทำด้วย ถ้าเป็นสาขาเฉพาะทางก็อาจจะได้มากกว่านี้ อย่างไรก็ตามที่อเมริกาทำงานได้ไม่เกินวันละ 8 ชั่วโมง

ส่วนอัตราภาษีนั้นอยู่ที่ 3-12% โดยแยกออกเป็นสองส่วน ทั้งรัฐบาลกลาง และรัฐบาลท้องถิ่น ไม่ว่าคุณจะเติบโตเข้าหาแสงในทิศทางไหน ประเทศนี้ก็มีพื้นที่ให้คุณพร้อมเบ่งบานในแบบตัวเอง จึงไม่แปลกที่ความศิวิไลซ์ ความเปิดกว้างในความต่างและความเพียบพร้อมของเมืองนี้ จะทำให้อเมริกากลายเป็นประเทศที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในการไปทำงานต่างประเทศ ซึ่งครองแชมป์อันดับหนึ่งมาตั้งแต่ปี 2014

2. เยอรมนี Germany

ข้ามมาที่ฝั่งยุโรปกันบ้าง ตามมาติด ๆ เป็นอันดับสอง ไม่ใช่แค่จุดขายอย่าง “เมืองเบียร์อันดับ 1 ของโลก” เท่านั้น ที่เยอรมนีก็เป็นอีกหนึ่งประเทศที่เปิดกว้าง ให้ Global Citizen เข้ามาทำงานเช่นเดียวกัน โดยค่าแรงขั้นต่ำ (Mindestlohn) ของที่นี่อยู่ที่ 10.45 ยูโรต่อชั่วโมง (อัปเดต ณ วันที่ 1 กค. 2022) โดยกฎหมายค่าแรงขั้นต่ำกำหนดให้มีการปรับค่าแรงขั้นต่ำทุก ๆ สองปี ส่วนภาษีมูลค่าเพิ่ม (Mehrwertsteuer) สำหรับสินค้าและบริการปกติ 19% และสินค้าที่จำเป็นต่อการบริโภค 7% (เท่ากับ VAT บ้านเรา)

3. แคนาดา Canada

มาที่อีกหนึ่งประเทศที่ช่วงนี้ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ด้วยวีซ่าต่าง ๆ ที่เปิดกว้างให้ชาวต่างชาติเข้าไปทำงานได้มากขึ้น แต่อาจจะไม่ใช่การทำงานแบบเต็มร้อย ส่วนใหญ่เป็นวีซ่ากึ่งเรียนและทำงาน Work & Study เรียน 6 เดือน ทำงาน 6 เดือน หรือโปรแกรม Co-op จะอยู่ในมหาวิทยาลัยที่มีหลักสูตรภาษาอังกฤษอยู่ด้วย คล้าย ๆ โปรแกรมแลกเปลี่ยนเรียนภาษา เหมาะกับคนที่อายุยังไม่เยอะ รีบเตรียมตัวไปตั้งแต่เนิ่น ๆ (ค่าแรงอยู่ที่ 317-397 ต่อชั่วโมง แตกต่างกันไปแต่ละเมือง ทำงานได้ไม่เกินวันละ 8 ชั่วโมง)

4. ออสเตรเลีย Australia

อีกหนึ่งหมุดหมายยอดนิยมของคนไทยในช่วงนี้ เรียกได้ว่าเป็นประเทศที่มีคนไทยไปทำงานเยอะที่สุดเป็นอันดับต้น ๆ ด้วยความที่ออสเตรเลียเปิดกว้างให้แรงงานไทย มีวีซ่า Work and Holiday เป็นหัวใจหลัก ซึ่งแต่ละปีจะเปิดโควต้าให้ได้กดกันปีละ 500 คน แต่ช่วงหลังมานี้ทั้งความบูมและความที่ประเทศเขาขาดแคลนแรงงาน จำนวนโควต้าจึงค่อย ๆ ขยับเพิ่มขึ้นไปเรื่อย ๆ จนตอนนี้อยู่ที่ 2,000 คน/ปี แต่ก็ยังเป็นที่ยื้อแย่งของหนุ่มสาวชาวไทยอยู่ดี (ค่าแรงขั้นต่ำเฉลี่ย 493 บาท/ชั่วโมง)

5.อังกฤษ England

ถึงอันดับจะตกลงมาจากปีก่อน ๆ แต่อังกฤษก็ยังเป็นที่ Popular ในกลุ่มวัยทำงานเหมือนเดิม ด้วยความหลากหลายของสายงาน ทั้งงานบริการ งานเฉพาะทาง งานศิลปะ เรียกได้ว่าเปิดกว้างทุกสาขา ที่สำคัญค่าแรงบ้านเขายังปรับขึ้นเรื่อย ๆ ทุกปี ปัจจุบันตัวเลขอยู่ที่ 9.18 ปอนด์ต่อชั่วโมง คิดเป็นเงินไทยราว 390 บาท เพิ่มขึ้น 6.6% เมื่อเทียบกับอัตราปัจจุบัน

6.สเปน Spain

ต่อกันที่ประเทศสเปน หนึ่งในประเทศที่หลายคนอยากไปทำงานมากขึ้นในช่วงหลัง ความที่เป็นประเทศแรกในกลุ่มยุโรปที่ภาครัฐและเอกชนพากันใช้นโยบายทำงานสัปดาห์ละ 4 วัน เพื่อให้เกิด Work life balance ที่สมดุล โดยการทำเช่นนี้ผ่านการวัดประสิทธิภาพการทำงานมาแล้วว่าได้ตามมาตรฐาน ที่สำคัญค่าแรงก็ถือว่าสมน้ำสมเนื้อ ขั้นต่ำอยู่ที่ 1000.00 ยูโรต่อเดือน หรือราว ๆ 37,000 บาท

7.ฝรั่งเศส France

ฝรั่งเศสเป็นหนึ่งในประเทศที่ค่าแรงขั้นต่ำปรับขึ้นทุกปี ล่าสุดค่าจ้างขั้นต่ำตามกฎหมายเพิ่มขึ้นเป็น 1,678.95 ยูโรต่อเดือน (62,189 บาท/เดือน) และ 11.07 ยูโรต่อชั่วโมง (410 บาท/ชั่วโมง) เรียกได้ว่าเป็นเมืองที่ให้ค่าแรงค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ ด้านบน แต่อาจจะต้องแลกกับค่าครองชีพที่สูง รวมถึงเรื่องงานที่แข่งขันกันสูงเช่นเดียวกัน

8.สวิตเซอร์แลนด์ Switzerland

หลายคนอาจจะมองสวิตเซอร์แลนด์ว่าเป็นดินแดนของธรรมชาติที่สวยงาม เหมาะกับการมาเที่ยวพักผ่อนเพียงเท่านั้น ซึ่งจริง ๆ แล้วประเทศนี้ก็เป็นอีกหนึ่งหมุดหมายปลายทางของการทำงาน โดยเฉพาะงานด้านศิลปะ งานแฮนเมดด์ทำมือ วิชาชีพสายอาร์ตค่อนข้างรุ่งเรืองทีเดียว ขณะที่ค่าแรงนั้นก็แตกต่างกันตามแต่ละรัฐ อย่าง Neuchâtel อยู่ที่ 20 CHF/ชั่วโมง (750 บาท/ชั่วโมง) Geneva อยู่ที่ 23 CHF/ชั่วโมง (860 บาท/ชั่วโมง)

สวิตเซอร์แลนด์ยังเป็นหนึ่งในกลุ่ม 4% แรกของประเทศที่มีค่าแรงขั้นต่ำสูงสุด ตามสกุลเงินสากล

9. อิตาลี Italy

ค่าแรงขั้นต่ำของอิตาลีอยู่ที่ 7 ยูโร/ชั่วโมง เทียบเป็นเงินไทยราว ๆ 260 บาท/ชั่วโมง จะเห็นได้ว่าตัวเลขค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับกลุ่มประเทศยุโรปอื่น ๆ แต่โดยรวมแล้วก็ยังมากกว่าที่ไทยอยู่ดี ส่วนสาเหตุที่ทำให้ค่าแรงของประเทศนี้อยู่ในเรตนี้ เพราะบ้านเขามี Tax Wedge เป็นภาษีที่นายจ้างต้องจ่ายให้ลูกจ้างค่อนข้างสูง แบ่งเป็นภาษีย่อยและเงินสมทบที่ต้องจ่ายให้กับพนักงาน เอาว่าสบายใจได้กับสวัสดิการที่ได้รับนั่นเอง

10.ญี่ปุ่น Japan

ปิดท้ายกับประเทศที่คนไทยคุ้นเคยกันเป็นอย่างดีอย่างญี่ปุ่น ทั้งวัฒนธรรม ภาษา อาหาร ความบันเทิงต่าง ๆ ที่หลั่งไหลเข้ามาอย่างถาโถม จนก่อเกิดเป็นแรงบันดาลใจให้หลาย ๆ คนอยากย้ายไปตั้งรกราก ทำงานและสร้างชีวิตที่ญี่ปุ่น โดยค่าแรงของที่นี่ถูกปรับขึ้นทุกปี จนตอนนี้อยู่ที่ 853-1072 เยน/ชั่วโมง คิดเป็นเงินไทยราว ๆ 217-272 บาท/ชั่วโมง

การจะไปทำงานต่างประเทศได้นั้น เป็นเรื่องของหลายปัจจัยและองค์ประกอบ รวมถึงต้นทุนของตัวคุณเองด้วยว่าพร้อมแค่ไหน แต่ละประเทศก็เปิดรับกลุ่มแรงงานที่ต่างกันไป หากเฉพาะทางมากก็อาจจะต้องไปเรียนเพื่อให้ได้ใบประกอบวิชาชีพอย่างถูกต้อง การได้ภาษาไม่ได้เป็นสิ่งการันตีเสมอไป

ในมุมมองของ HR เองจะดึงดูดผู้สมัครได้อย่างไร

1. สวัสดิการคือสิ่งที่ทุกคนมองหา

หากคุณอยากได้คนเก่งๆจากทั่วโลก สวัสดิการที่ใครต่างหาได้ภายในประเทศตัวเองก็คงเลือกหางานบริษัทในประเทศดีกว่า ดังนั้นสวัสดิการที่พิเศษจะเป็นสิ่งที่ชวนให้พนักงานที่เก่งๆมาร่วมงานได้ง่ายยิ่งขึ้น อย่างเช่น เพิ่มวันหยุดพักร้อน หรือ เพิ่มสวัสดิการท่องเที่ยวเพื่อช่วยให้พนักงานเดินทางกลับบ้านได้บ่อยมากยิ่งขึ้น รวมถึงการเปิดสอนภาษาที่ประเทศนั้นใช้งานแก่ผู้สมัครงานชาวต่างชาติย่อมช่วยดึงดูดให้คนมาสมัครงานได้ดียิ่งขึ้น.

อีกหนึ่ีงเหตุผลในการเลือกไปทำงานต่างประเทศ นั่นคือการหาประสบการณ์ใหม่ๆ  ดังนั้น องค์กรควรจะเปิดโอกาสให้สามารถทำงานแบบเลือกเวลาทำงานได้เพื่อช่วยให้พนักงานเหล่านั้นสามารถสร้างสมดุลระหว่างชีวิตการทำงานได้ดียิ่งขึ้น

2. ปฏิบัติด้วยความเท่าเทียม และส่งเสริมการมีส่วนร่วม

เมื่อต้องไปทำงานต่างประเทศ ทุกคุนต่างกังวลว่าจะได้รับการปฏิบัติที่เท่าเทียมแบบพนักงานคนอื่นหรือไม่ เพราะมีความแตกต่างทั้งชาติ ภาษา วัฒนธรรม ดังนั้น องค์กรควรเตรียมนโยบายและกฎระเบียบต่างๆเพื่อให้แน่ใจว่าชาวต่างชาติที่มาร่วมงานด้วยนั้นได้รับการปฏิบัติเท่าเทียมเหมือนๆพนักงานคนอื่น

นอกจากนี้ องค์กรควรมีกิจกรรมเพื่อเพิ่มความสัมพันธ์ระหว่างพนักงานด้วยกัน ซึ่งอาจจะเป็นกิจกรรมสันทนาการต่างๆเพื่อละลายพฤติกรรมและวัฒนธรรมอันแตกต่างกัน จะส่งเสริมในเรื่องการทำงานให้มีประสิทธิภาพและได้งานออกมาดียิ่งขึ้น

การแข่งขันแย่งชิงตัวผู้สมัครงานที่มีความสามารถจากทั่วโลกเริ่มเข้มข้นมากกว่าเดิม การแข่งขันในระดับสากลย่อมต้องการทักษะและความสามารถจากผู้สมัครงานจากหลากหลายเชื้อชาติมากยิ่งขึ้นนั่นเอง

jobsDBยังมีเทคนิคเพื่อช่วยให้ ผู้ประกอบการ หาผู้สมัครงานดีๆอีกเพียบ คลิกที่นี่เลย

#icanbebetter

ดาวน์โหลดได้แล้ววันนี้ทั้ง iOS และ Android

คว้างานที่ใช่ ด้วยการค้นหางานที่ง่ายและรวดเร็ว พร้อมทั้งจัดการเรซูเม่อย่างมีประสิทธิภาพ ให้คุณอัปโหลด ดู และลบได้ทุกเมื่อที่ต้องการ เพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การใช้งานแสนง่าย ด้วยระบบ AI ใหม่ ช่วยค้นหางานที่ตรงใจมากขึ้นถึง 6 เท่า​

https://th.jobsdb.com/th-th/articles/%e0%b8%82%e0%b9%89%e0%b8%ad%e0%b8%94%e0%b8%b5%e0%b8%97%e0%b8%b3%e0%b8%87%e0%b8%b2%e0%b8%99%e0%b8%95%e0%b9%88%e0%b8%b2%e0%b8%87%e0%b8%9b%e0%b8%a3%e0%b8%b0%e0%b9%80%e0%b8%97%e0%b8%a8/